เจียงหยวนเฉาเม้มมุมปากก่อนกล่าวตอบ “กวนจวินโหวมิได้พูดเตือนหร่านราน เพียงเตือนสติข้า…”
“เจ้าช่วยพูดแทนกวนจวินโหวอยู่หรือ” ความเจ็บปวดแสนสาหัสจากการสูญเสียบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนทำให้ความรู้สึกนึกคิดของเจียงถังเฉียบไวสุดจะเปรียบ เขาฟังคำอธิบายของเจียงหย่วนเฉาแล้วจับนัยปกป้องแฝงอยู่ในน้ำเสียงได้อย่างรวดเร็ว
สือซานปกป้องใครอยู่ เห็นชัดว่าต้องไม่ใช่กวนจวินโหว!
เช่นนั้น…เป็นคุณหนูหลีใช่หรือไม่
นัยน์ตาสีดำเข้มขุ่นขวางของเจียงถังหรี่ลง
เขาพอจับสังเกตความรู้สึกที่สือซานมีต่อคุณหนูหลีได้แต่แรก ไม่อย่างนั้นคงไม่ใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็งให้สือซานกับหร่านรานหมั้นหมายกัน
ความตั้งใจในตอนแรกของเขาคือรอให้บุตรชายบุญธรรมกับบุตรสาวบ่มเพาะความรักจนสุกงอมแล้ว สือซานเป็นฝ่ายสู่ขอนางเอง
ท่าทางของเจียงถังทำให้เจียงหย่วนเฉาใจกระตุกวาบ “ท่านพ่อบุญธรรม ข้าเพียงเล่าถึงท่าทีของกวนจวินโหวในวันนั้นตามความเป็นจริง มิได้ตั้งใจช่วยพูดแทนเขาอย่างเด็ดขาด หร่านรานเป็นทั้งน้องสาวบุญธรรมของข้าและเป็นทั้งคู่หมั้นของข้า เวลานี้หัวใจข้าคล้ายโดนมีดกรีด”
ต่อให้เขาต้องตบแต่งน้องสาวบุญธรรมเป็นภรรยาอย่างไม่เต็มใจ นั่นก็เป็นเพราะเขามีหญิงในดวงใจแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาอยากเห็นนางมีอันเป็นไป
ผูกพันฉันพี่น้องกันมายาวนานสิบกว่าปี จิตใจของเขาก็มิได้ตีขึ้นจากเหล็กกล้า
แววเจ็บปวดในดวงตาเจียงหย่วนเฉาทำให้สีหน้าของเจียงถังอ่อนละมุนลง เขากล่าวเสียงเรียบว่า “เจ้าไปเชิญกวนจวินโหวกับคุณหนูหลีมาที่นี่ ข้าอยากพบพวกเขาสักหน่อย”
“ขอรับ”
“พวกเจ้าก็ออกไปเถอะ” เจียงถังหลับตาลงอย่างปวดร้าว
พวกเจียงหย่วนเฉาเดินชักแถวออกไป
เจียงถังนั่งนิ่งไม่ขยับกาย ไม่นานนักก็มีเสียงฝีเท้าดังลอยมา
“ท่านพ่อบุญธรรม” เสียงของเจียงสืออีดังขึ้นที่นอกประตู
เจียงสืออีออกไปแล้วย้อนกลับมาทำให้เจียงถังลืมตาขึ้น “เข้ามา”
ชายหนุ่มเปิดประตูเข้ามาแล้วยืนเงียบไม่พูดไม่จาอยู่เบื้องหน้าเจียงถัง
“มีเรื่องอะไร พูด!”
เจียงสืออียกมือล้วงของชิ้นหนึ่งจากอกเสื้อยื่นไปตรงหน้าบิดาบุญธรรม
เจียงถังมองปราดหนึ่งแล้วรูม่านตาหดแคบลงทันใด “นี่มัน…”
บนอุ้งมือของเจียงสืออีคือหยกพกลายปลาคู่ร้อยด้วยเชือกสีเขียวชิ้นหนึ่งซึ่งคุ้นตาเจียงถังเหลือเกิน เพราะมันเป็นของที่เจียงหย่วนเฉาพกติดกายเป็นประจำ
“ข้าพบมันอยู่ในมือของน้องบุญธรรมขอรับ” น้ำเสียงของเจียงสืออีเฉยเมยไม่แฝงอารมณ์ใด
เขาเป็นคนแรกที่พบศพเจียงซือหร่าน
เจียงถังหยิบหยกพกมากำไว้ในมือแน่นๆ โดยไม่กล่าววาจาสักคำ
“ข้าขอตัวออกไปก่อนขอรับ”
จวบจนเจียงสืออีออกจากห้องไปอย่างไร้สุ้มเสียง เจียงถังมิได้ขยับกายเลย หากในใจเขากลับปั่นป่วนพลุ่งพล่านดุจคลื่นคลั่งถาโถม
หยกพกของสือซานปรากฏอยู่ในมือหร่านราน หมายถึงว่าความจริงมิได้เป็นดังเช่นที่สือซานกล่าวไว้ว่าทั้งสองทะเลาะกันที่ร้านไป่เว่ยแล้วแยกกันไป หาไม่แล้วหร่านรานคงไม่กำหยกพกของสือซานไว้ในมือตอนใกล้ตาย
เสียงฝีเท้าดังขึ้นอีกคำรบหนึ่ง เจียงถังมองไปทางประตูที่ปิดสนิท
“ท่านพ่อบุญธรรม ข้าขอเข้าไปได้หรือไม่ขอรับ” ครั้งนี้เป็นเสียงของเจียงอู่
“เข้ามา” เจียงถังขยับมุมปากเล็กน้อย
บุตรชายบุญธรรมผู้นี้มีอะไรมาบอกเขาลับหลังอีกเล่า
มาตรว่าเจียงอู่จะมีรูปโฉมโนมพรรณเหี้ยมเกรียมอำมหิต แต่มิใช่คนเงียบขรึมไม่ช่างพูดอย่างเจียงสืออี เขาเดินมาถึงเบื้องหน้าเจียงถังแล้วกล่าวขึ้น “ท่านพ่อบุญธรรม มีเรื่องหนึ่งที่ข้าไม่รู้ว่าสมควรพูดหรือไม่…”
“พูด!” เจียงถังตัดบทเจียงอู่ด้วยน้ำเสียงห้วนจัด
“คืนวันเทศกาลหยวนเซียว ข้าเห็นน้องสือซานสบช่องชุลมุนพาตัวคุณหนูหลีซานไปโดยไม่ตั้งใจขอรับ”
เจียงถังสะดุ้งวาบในใจ “พาตัวไปหมายถึงอะไร”
เจียงอู่หลุบตาลง “ตอนนั้นมีโคมไฟสูงๆ ดวงหนึ่งล้มลงมากะทันหัน คนที่อารักขาคุณหนูหลีซานจึงไปจับโคมไฟไว้ ข้าเห็นน้องสือซานจูงมือคุณหนูหลีซานหายลับเข้าไปกลางหมู่คนในชั่วพริบตาขอรับ”