เซ่าหมิงยวนพบกับเจียงหย่วนเฉาในโถงรับแขกของจวนกวนจวินโหว เมื่อได้ฟังจุดประสงค์ที่มาของอีกฝ่าย เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนพยักหน้า “ได้ ข้าจะตามท่านไป”
“แล้วคุณหนูหลีซาน…”
เขามองเจียงหย่วนเฉาแวบหนึ่งถึงกล่าวเสียงเรียบ “ข้าไม่คิดว่าคู่หมั้นของข้ามีความจำเป็นต้องไปด้วย”
“ท่านโหวน่าจะรู้ว่าหลังน้องสาวบุญธรรมของข้าตายไป ท่านผู้บัญชาการใหญ่สะเทือนใจอย่างรุนแรง การปฏิเสธคำขอของเขาในตอนนี้ไม่ฉลาดเลย”
เซ่าหมิงยวนไม่หวั่นไหว “ใต้เท้าเจียง พวกเราไปกันเถอะ”
วันที่คุณหนูเจียงจบชีวิตเป็นวันเกิดของเจาเจาพอดี อีกทั้งพวกนางยังได้พบหน้ากัน ถึงขั้นพูดได้ว่ามีเรื่องหมางใจกันอยู่บ้าง เขาไม่อยากให้เจาเจาเข้ามาพัวพันจนเป็นการตอกย้ำความทรงจำในวันนั้น เป็นเหตุให้วันเกิดทุกปีหลังจากนี้ถูกปกคลุมด้วยเงามืดชั้นหนึ่ง
เจียงหย่วนเฉายืนนิ่งไม่ขยับ “ท่านผู้บัญชาการใหญ่ให้ข้าเชิญท่านโหวกับคุณหนูหลีซานสองคน คุณหนูหลีซานไม่ได้อยู่ใต้อาณัติท่าน แต่ท่านตัดสินใจแทนนางอย่างนี้ แน่ใจว่านางจะชอบใจหรือ”
เซ่าหมิงยวนหัวเราะ เขาดูออกว่านี่เป็นอุบายยั่วยุของเจียงหย่วนเฉา แต่ไม่อาจไม่ยอมรับว่าคำกล่าวของอีกฝ่ายมีเหตุผลอยู่หลายส่วน
ทว่ายามนี้เขาไม่อยากพูดด้วยเหตุผล
เพราะอะไรเขาต้องให้สตรีที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของตนเองต้องไปเผชิญหน้ากับการซักไซ้ไล่เลียงรวมถึงไฟโทสะของบิดาที่สูญเสียบุตรสาวที่รักยิ่งไปผู้หนึ่ง
“ข้าแน่ใจ”
เจียงหย่วนเฉาเลิกคิ้วขึ้น “ท่านโหวอาศัยอะไรถึงได้แน่ใจ”
เซ่าหมิงยวนอดยิ้มไม่ได้ “ก็ย่อมอาศัยที่ว่าข้าเป็นคู่หมั้นของนางอยู่แล้ว”
เจียงหย่วนเฉานิ่งขึงไป เขาไม่พูดกล่อมอีก ประสานมือคำนับพลางกล่าว “ท่านโหว เชิญเถอะ”
เซ่าหมิงยวนได้พบเจียงถังอีกคราถึงพบว่าผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินผู้ทรงอำนาจน่าเกรงขามคล้ายชราภาพลงไปหลายสิบปี ดูไปแล้วไม่ต่างอันใดกับผู้เฒ่าไม้ใกล้ฝั่ง
เมื่อจิตวิญญาณของคนสูญหายไป มีชีวิตอยู่ไปก็ไร้ความหมาย สำหรับเจียงถังแล้วบุตรสาวก็คือที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจของเขา
เจียงถังบอกให้ทุกคนออกไป เขานั่งประจันหน้ากับเซ่าหมิงยวนตามลำพัง
ภายในห้องเงียบเชียบมาก เจียงถังก็มิได้ปริปากพูด
“ท่านผู้บัญชาการใหญ่ หักห้ามใจด้วย” เซ่าหมิงยวนเป็นฝ่ายทำลายความเงียบก่อน
ไม่ว่าเมื่อใดก็ตามที่เห็นบิดามารดาสูญเสียบุตรไปมักน่าสงสารจนทนดูไม่ได้เสมอ
เจียงถังแย้มยิ้ม แต่รอยยิ้มนั่นยังอัปลักษณ์ยิ่งกว่าร้องไห้ “ท่านโหวจะเล่าเหตุการณ์ตอนที่พบกับบุตรสาวข้าวันนั้นได้หรือไม่”
ระหว่างทางที่มาเซ่าหมิงยวนคิดไว้แล้วว่าเจียงถังต้องถามเรื่องนี้ เขาหยุดตรึกตรองอึดใจหนึ่งก่อนบอกเล่าเหตุการณ์ในวันนั้นรอบหนึ่งตามจริง
ต่อให้เขาไม่พูดเรื่องพวกนี้ เจียงหย่วนเฉาก็ไม่มีทางปิดบังเจียงถัง
“เช่นนั้นท่านโหวกับคุณหนูหลีกินอาหารเสร็จแล้วยังไปที่ใดอีก”
เซ่าหมิงยวนมองเขาอย่างพินิจ
เจียงถังแสดงท่าทางเปิดเผยตรงไปตรงมาอย่างมาก “หวังว่าท่านโหวจะเข้าใจจิตใจของข้าได้ ยามนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่มีความเกี่ยวข้องสักนิดกับหร่านราน ข้าล้วนอยากรู้ทุกสิ่งทุกอย่างของพวกเขา”
ความนัยของวาจานี้คือเขาซักถามแค่นี้นับว่าสะกดกลั้นไว้มากแล้ว
“พวกข้ากินอาหารเสร็จแล้ว ข้าก็ส่งคู่หมั้นกลับจวน”
“มิได้เดินเที่ยวไปทั่วหรือ”
“พวกข้าเดินเที่ยวกันก่อนกินอาหารแล้ว นางยังต้องกลับเรือนไปกินเส้นหมี่อายุยืน จะอยู่ข้างนอกทั้งวันในวันเกิดก็ไม่เหมาะสม”
ข้าต้องยอมทนสายตาต่อว่าต่อขานของท่านพ่อตาท่านแม่ยายเพื่อนัดหมายเจาเจาออกมาเชียวนะ
จากนั้นเจียงถังถามต่ออีกสองสามคำ เซ่าหมิงยวนล้วนตอบอย่างมีน้ำอดน้ำทน
“ขอบคุณท่านโหวที่ให้เกียรติมาที่นี่ ข้าฝากความระลึกถึงคุณหนูหลีด้วย” เจียงถังออกไปส่งชายหนุ่มถึงหน้าประตู
ในใจเซ่าหมิงยวนกลับหนักอึ้ง
ดีเกินไปจนผิดปกติ…
เจียงถังรักบุตรสาวเท่าชีวิตเป็นเรื่องที่ใครๆ รู้กันทั่ว ขณะนี้กลับมีแก่ใจพูดจาตามมารยาทเช่นนี้ บ่งบอกได้เพียงอย่างเดียวว่าสิ่งที่เขากลบเกลื่อนไว้ใต้สีหน้าสงบนิ่งนั้นเป็นความคลุ้มคลั่งที่น่าตกใจ
เห็นทีว่าเขาต้องส่งองครักษ์ไปคุ้มครองเจาเจาในที่ลับให้มากขึ้น
เซ่าหมิงยวนเดินห่างไปไกลแล้ว เจียงถังถึงดึงสายตากลับ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เรียกเจียงสือซานมาหาข้า”
ไม่นานนักเจียงหย่วนเฉาก็เดินเข้ามา “ท่านพ่อบุญธรรม ท่านเรียกข้าหรือขอรับ”
เจียงถังมองสำรวจเขาขึ้นๆ ลงๆ ก่อนถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “สือซาน หร่านรานตายอย่างน่าอนาถ เจ้ามีความรู้สึกอย่างไร”
เจียงหย่วนเฉาอึ้งงันไป ท่านพ่อบุญธรรมถามอย่างนี้ออกจะแปลกพิกลเกินไปจริงๆ
เจียงถังจับสังเกตสีหน้าของเขาอยู่ตลอด พบว่าบุตรชายบุญธรรมของตนผู้นี้สุขุมเหลือเกินจนอ่านความรู้สึกจากใบหน้าของเขาไม่ออกสักเท่าไร มีเพียงสายตาทอประกายเข้มขึ้นฉับพลันบ่งชัดถึงอารมณ์ที่ไม่สงบนิ่งหลังได้ยินคำถามของเขา
“เช่นนั้นบอกมาสิว่าหลังแยกกับหร่านรานที่ร้านไป่เว่ยก่อนจะกลับถึงที่ว่าการยังมีเวลาอีกครึ่งชั่วยาม ระหว่างนั้นเจ้าทำอะไรบ้าง”