กระวานน้อยแรกรัก
ทดลองอ่าน กระวานน้อยแรกรัก บทที่ 15
อวิ๋นอี่พยักหน้า “ข้าเจอร้านที่ขายดีที่สุดร้านหนึ่ง เห็นว่าขายมาสามรัชศกแล้ว ทุกวันพอถึงยามสาม ร้านก็จะเริ่มจุดเตา แต่ละวันต้องขายหลายสิบเตา กลิ่นหอมของใบชาเข้มข้นยิ่ง คุณชายรองสกุลซูลองชิมดูสิ”
ซูจิ่งหรานอยากจะลองชิมดูยิ่งนัก เพียงแต่การใช้มือเปล่าฉีกกินอาหารเช่นนี้ช่างทำให้เขาลำบากใจเหลือเกิน เขานิ่งคิดอยู่สักพัก จากนั้นก็เอ่ยเสียงอ่อนว่า “ผู้แซ่ซูเพิ่งจะกินอาหารว่างมื้อดึกมา รอกลับไปถึงห้องแล้วจะต้องลิ้มชิมรสให้เต็มที่แน่นอน”
อวิ๋นอี่พยักหน้าเบาๆ มิได้เอ่ยอันใด
“จริงสิ ผู้แซ่ซูมีคำถามหนึ่งอยากจะขอคำชี้แนะจากแม่นางอวิ๋นมานานแล้ว เหตุใดแม่นางอวิ๋นถึงได้ชอบกินไก่ย่างถึงเพียงนี้เล่า” ซูจิ่งหรานถามขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็นเล็กน้อย
อวิ๋นอี่ฉงน “ก็ไก่ย่างอร่อยนี่นา ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็ไม่ได้ชอบกินแค่ไก่ย่างเสียหน่อย เป็ดย่าง ห่านย่างข้าก็ชอบกินเหมือนกัน อาหารอร่อยๆ ข้าชอบกินหมดนั่นล่ะ”
ซูจิ่งหรานแย้มยิ้มออกมาอีกครั้ง
อวิ๋นอี่หลุบตาลง กัดไปสองสามครั้งก็เหลือน่องไก่แค่เพียงครึ่งน่องเท่านั้น นางเอ่ยด้วยเสียงอู้อี้ว่า “องครักษ์จินอวิ๋นไร้บิดามารดา ทุกคนต่างก็กินเก่งกันทั้งนั้น อาจเพราะตอนเด็กๆ เคยอดอยากมากระมัง แต่ว่าข้าก็จำไม่ได้แล้วล่ะ”
ได้ยินดังนั้น มุมปากของซูจิ่งหรานก็ค้างแข็งไปเล็กน้อย “ขออภัยด้วย ผู้แซ่ซูล่วงเกินแล้ว”
“องครักษ์จินอวิ๋นไร้บิดามารดาเป็นเรื่องจริง การที่จดจำเรื่องสมัยเยาว์วัยไม่ได้แล้วก็ถือว่าเป็นเรื่องดี คุณชายรองสกุลซูไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดหรอก”
“แม่นางอวิ๋นมีจิตใจที่ปล่อยวางได้เช่นนี้ช่างล้ำค่ายิ่ง”
“คุณชายรองสกุลซู ปัญญาชนอย่างพวกท่านเป็นเช่นนี้กันหมดเลยหรือ” อวิ๋นอี่รู้สึกอึดอัดไม่เป็นธรรมชาติไปทั่วทั้งกาย “หรือว่ามีแต่คนที่สอบติดตำแหน่งทั่นฮวาถึงจะเป็นเช่นนี้”
“ ‘เช่นนี้’ คือ… อย่างไรหรือ”
“ก็คือ…ชอบเอ่ยชมผู้อื่น” อวิ๋นอี่เกาจมูก “มักจะพูดจาระวังความรู้สึกของคนรอบข้างอยู่เสมอ” ทั้งที่เป็นสหายรักกัน แต่กลับไม่เหมือนนายท่านที่ชอบสั่งให้นางไสหัวไปบ้าง สั่งให้ถือศีรษะเข้ามาพบบ้างอยู่เรื่อย
ซูจิ่งหรานยิ้มแย้มด้วยท่าทางเรียบเฉยเป็นที่สุด “คนเราแค่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้ก็มีเรื่องยากลำบากมากพออยู่แล้ว สร้างปัญหาให้ผู้อื่นน้อยลงหน่อยจะเป็นการดีที่สุด จริงๆ แล้วตอนเยาว์วัยผู้แซ่ซูยังไม่รู้ประสีประสา เมื่อครั้งเข้าเรียนในสำนักศึกษาก็เคยพูดจาทำร้ายจิตใจสหาย แต่กลับไม่รู้ว่าตอนเด็กๆ เขาไม่เคยได้รับความสนใจจากคนในครอบครัว ชีวิตกระเสือกกระสนดิ้นรนมีสารพัดปัญหา แค่พูดต่อว่าไม่กี่ประโยคก็เกือบจะทำให้เขาคิดสั้นแล้ว ความโหดร้ายทารุณจากความรู้เท่าไม่ถึงการนั้นทำร้ายคนได้มากที่สุด เพราะเคยทำผิดพลาดมาก่อน หลังจากสำนึกตัวได้แล้วผู้แซ่ซูก็พอจะรู้จักทำตัวนุ่มนวลขึ้นบ้างไม่มากก็น้อย”
อวิ๋นอี่พยักหน้าคล้ายกับเข้าใจแต่ก็เหมือนไม่เข้าใจอยู่ในที
ซูจิ่งหรานแหงนมองแสงจันทรา จู่ๆ ก็พลันเกิดความคิดขึ้นมาในใจ “แม่นางอวิ๋นอยากฟังเพลงหรือไม่” เขาลูบขลุ่ยหยกอย่างแผ่วเบา
“ได้”
ซูจิ่งหรานลุกขึ้น ร่างกายสูงเพรียวยืดสะโอดสะองอยู่ภายใต้จันทรา เขาเกิดอารมณ์คึกคักเป่าเพลง ‘จันทราเหนือแม่น้ำซีเจียง’ ขึ้นมาอย่างลื่นไหลปานเมฆาเคลื่อนคล้อยสายธารรินไหล
ครั้นบทเพลงเนิบยาวจบลง ซูจิ่งหรานก็ลดขลุ่ยหยกลงอย่างเชื่องช้า “เพลง ‘จันทราเหนือแม่น้ำซีเจียง’ บทนี้แบ่งออกเป็นสามช่วง ช่วงแรก…”
ซูจิ่งหรานหันหน้ากลับไปก็พบว่าศีรษะของอวิ๋นอี่กำลังสัปหงก
“แม่นางอวิ๋น?”
ศีรษะของอวิ๋นอี่คะมำลงไปอย่างแรงหนึ่งที จากนั้นก็ลืมตาขึ้นมาอย่างมึนงง ซ้ำยังเช็ดน้ำลายที่อาจจะหลงเหลืออยู่ตรงมุมปากออกตามจิตใต้สำนึก “อ้อ สามช่วง สามช่วง”
บทเพลงนี้ชวนให้หลับดีจริงๆ นางอยากจะตั้งใจฟังดีๆ แต่ว่าช่างน่าเบื่อหน่ายเหลือเกิน นางเพิ่งฟังไปได้แค่ครึ่งเค่อก็ง่วงงุนจนทนไม่ไหว งานอดิเรกของปัญญาชนอย่างพวกเขาช่างอัศจรรย์ดีแท้
“ ‘จันทราเหนือแม่น้ำซีเจียง’ เพลงนี้เป่าได้ไพเราะเหลือเกิน ช่วงต้นเร็วไวพลิ้วแผ่ว ประหนึ่งจันทราข้างขึ้นมัวสลัวโผล่พ้นเมฆา ช่วงกลางราบเรียบสงบนิ่ง ดุจดังจันทร์กระจ่างเคลื่อนคล้อยลอยเด่น ส่วนท้ายเนิบยาวไม่ขาดสิ้น เสียงกังวานแว่วก้องสะท้อน ได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างมานานแล้วว่าคุณชายรองสกุลซูเก่งกาจล้ำเลิศทั้งขลุ่ยทั้งปี่ วันนี้พอได้ฟัง ช่างสมกับคำร่ำลือจริงๆ” หมิงถานรอคอยเจียงซวี่ป้อนอาหารว่างมื้อค่ำไปพลางประคองใบหน้าเอ่ยชื่นชมเยินยอไปพลาง
มือของเจียงซวี่ที่กำลังตักโจ๊กอยู่หยุดชะงักไป สุ้มเสียงสงบเยือกเย็น “ดูท่าพระชายาจะติดใจเรื่องบรรเลงฉินกับขลุ่ยประสานเสียงยิ่ง มิสู้วันหลังข้าติ้งเป่ยอ๋องให้ซูจิ่งหรานมาร่วมบรรเลงเพลงกับเจ้าก็แล้วกัน”
“จริงหรือ ดีเลยเจ้าค่ะ” หมิงถานดวงตาลุกวาวเป็นประกาย พยักหน้าถี่รัว
“…”
ช้อนเงินในมือของเขาขยับมาทางขอบถ้วยเล็กน้อย ต่อมาก็ยื่นส่งออกไปข้างหน้า
เดิมหมิงถานยังคิดอยากจะพูดอันใดบางอย่างอีก แต่เมื่อเห็นเขาป้อนโจ๊กมา นางก็ขยับหน้าเข้าไปใกล้ๆ แล้วกินเข้าไปหนึ่งคำเล็ก ทว่าโจ๊กเพิ่งจะเข้าปากนางก็ขมวดคิ้วมุ่นพร้อมกับเอ่ยว่า “ร้อน!”
“ร้อนก็เลิกพูดเสีย”
“…”
ที่แท้สามีของตนมิได้อยากจะเชิญคุณชายรองสกุลซูมาร่วมบรรเลงเพลงกับนางจากใจจริง หมิงถานได้แต่ส่งเสียงขานรับว่า “อ้อ” ด้วยความกล้ำกลืนฝืนทน
เนื่องจากหมิงถานกับอวิ๋นอี่ได้ช่วยชิวเยวี่ยเอาไว้อย่างไม่ได้ตั้งใจ เจียงซวี่จึงได้รับหลักฐานที่โจวเป่าผิงทิ้งเอาไว้ให้อย่างรวดเร็ว แต่แน่นอนว่าเรื่องนี้มิอาจรอดพ้นสายตาคนสกุลซู่ไปได้ ดังนั้นในวันถัดมาอวี้ป๋อจงผู้บัญชาการกองการค้าทางทะเลของหลิงโจวจึงส่งเทียบมาขอเข้าคารวะเจียงซวี่
ยามที่ทราบเรื่องนี้ หมิงถานกำลังฝนหมึกให้เจียงซวี่อยู่ในห้องหนังสือในเรือน “สามี ใต้เท้าอวี้ผู้นี้มีความสัมพันธ์อย่างไรกับสกุลซู่หรือ”
“เขยแต่งเข้า”
ที่แท้ก็เช่นนี้เอง มิน่าเขาถึงไม่ได้แซ่ซู่
เจียงซวี่วางพู่กันลง เอ่ยกับผู้ที่เข้ามารายงานว่า “เชิญเขามาที่ห้องหนังสือ”
“ขอรับ”
หมิงถานตะลึงงันไป “สามีจะพบเขาที่นี่เลยหรือ”
“เหตุใดจะเจอไม่ได้เล่า”
หมิงถานส่ายศีรษะ ก็มิใช่ว่าไม่ได้ นางเพียงคิดว่าพวกเขาจะออกไปตั้งโต๊ะเลี้ยงอาหารข้างนอกอย่างเป็นทางการ หรือไม่ก็เชิญท่านเจ้าเมืองไปพบปะพูดคุยที่ห้องโถงใหญ่พร้อมกันเสียอีก
ในเมื่อเป็นอย่างนี้นางก็วางแท่งหมึกในมือลงอย่างรู้ความ “เช่นนั้นอาถานขอตัวกลับห้องก่อน”
นางคิดจะเดินออกไป แต่ไม่รู้ว่าใต้เท้าอวี้ผู้นี้มีกี่เท้ากันแน่ พวกนางเพิ่งจะคุยกันไปเพียงสองสามประโยค เขาก็มาถึงข้างนอกห้องอย่างรวดเร็วเสียแล้ว นางฉงนอึ้งงัน หันหน้าไปหาเจียงซวี่ในทันที
เจียงซวี่กลับมิได้ใส่ใจมากนัก เพียงแค่มองไปทางฉากกั้นปราดหนึ่งเท่านั้น
หมิงถานเข้าใจความนัย จึงรีบร้อนเข้าไปหลบอยู่ด้านหลังฉากกั้น แต่ว่านางรีบแอบอย่างฉุกละหุก ลืมไปว่านางฝนหมึกจนเหงื่อไหลไคลย้อย จึงยังคงพาดผ้าไหมโปร่งบางคลุมไหล่เอาไว้บนเก้าอี้ที่ด้านนอก
“ผู้น้อยอวี้ป๋อจง คารวะติ้งเป่ยอ๋อง ขอท่านอ๋องสุขสวัสดิ์ปลอดภัย”
อวี้ป๋อจงดูแล้วอายุอานามราวๆ สามสิบปี มีเนื้อหนังมังสาเล็กน้อย พอเดินเข้ามาก็คุกเข่าคารวะเจียงซวี่อย่างพินอบพิเทาทันที
เจียงซวี่มิได้เงยหน้าขึ้นมอง เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉยชาอย่างถึงขีดสุด “หากใต้เท้าอวี้วางเพลิงให้น้อยลงสักสองกอง ข้าติ้งเป่ยอ๋องย่อมสุขสวัสดิ์ปลอดภัยแน่นอน”
อวี้ป๋อจงชะงักงัน
เขาเคยได้ยินชื่อเสียงในฐานะเทพสงครามของติ้งเป่ยอ๋องมาเนิ่นนานแล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าติ้งเป่ยอ๋องอายุยังน้อยแต่ความน่าเกรงขามดุดันกลับหนักหน่วงรุนแรงยิ่งนัก คำพูดแค่เพียงประโยคเดียวก็ทำให้เหงื่อกาฬเย็นเฉียบผุดชุ่มบนแผ่นหลังของเขาได้แล้ว ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยรับคำต่อไปอย่างไรดี
หมิงถานที่หลบอยู่หลังฉากกั้นก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าสามีจะพูดตรงโผงผางถึงเพียงนี้ ดูท่าคงไม่คิดจะพูดจาวกวนอ้อมค้อมกับผู้มาเยือนให้มากความ
“ในเมื่อวันนี้เจ้ามาพบข้าติ้งเป่ยอ๋องก็คงจะรู้ดีอยู่แก่ใจแล้วว่าข้าผู้นี้ไม่อยากจะติดพันวุ่นวายกับกองการค้าทางทะเลของพวกเจ้ามากนัก หลักฐานสามารถแลกเปลี่ยนกันได้ แต่ว่ามีเงื่อนไขอยู่สองข้อ ข้อแรก จังกอบจากการค้าทางทะเลของหลิงโจวในช่วงสองปีที่ผ่านมาต้องจ่ายชดเชยให้ครบเต็มจำนวน ภายภาคหน้าคนของท่าเรือหลิงโจวอย่าคิดจะได้เงินจากจังกอบตรงนี้อีก ข้อสอง โจวเป่าผิงเป็นขุนนางผู้ซื่อสัตย์ จะปล่อยให้ตายอย่างอยุติธรรมไม่ได้”
บนหน้าผากของอวี้ป๋อจงก็เริ่มมีเหงื่อผุดพรายออกมาแล้วเช่นกัน “นี่…”
“ถ้าเจ้าตัดสินใจไม่ได้ก็กลับไปปรึกษากับคนที่ตัดสินใจได้มาเสีย ใครก็ได้เข้ามา ส่งแขก”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 22 เม.ย. 66 เวลา 12.00 น.