“หนูจะขายให้ปู่กันต์ หนูรับปากปู่เอาไว้แล้ว”
“ดื้อด้านจริงๆ เลยหลานคนนี้ อาให้มากกว่าราคาที่อาเสนอไปคราวก่อนก็ได้นะ”
“หนูไม่เปลี่ยนใจ”
“ฉันก็ไม่รู้ว่าแกจะเอาเงินไปทำอะไรหรอกนะ แต่ถ้าอยากได้เงินมากนักล่ะก็ ทำไมไม่ไปอ้อนปู่กันต์ของแกเหมือนเคยล่ะ บ้านแกเป็นคนโปรดบ้านนั้นอยู่แล้วนี่ โดยเฉพาะแก แกแค่เอ่ยปากบีบน้ำตาแค่หยดเดียว ขี้คร้านจะยกสมบัติให้แกหมด!” ศรีสุภาเริ่มพูดจาไม่รักษาน้ำใจมากขึ้นทุกทีๆ
“หนูไม่ใช่ขอทานนะ” เต็มเดือนเอ่ยเสียงเครือ
“แต่ถึงขนาดจะยอมแต่งงานกับหลานชายเขาที่ดูไม่มีดีอะไรเลยเพื่อเงินแบบนี้ ก็…ไม่ต่างกันหรอกนะ อาก็ไม่อยากพูดแรงๆ กับแกหรอก” ศรีสุภาถอนหายใจ “พ่อแกเขาไม่สบายใจ แกอย่าดื้อนักเลย รู้ไหมแกทำแบบนี้ผู้ใหญ่เขาคิดกันยังไง”
เต็มเดือนนั่งเงียบ มือเล็กกำหมัดแน่นมากกว่าเดิม
“มันเหมือนแกขายตัวแลกเงินนะเต็มเดือน”
“อาศรีออกไปเถอะ หนูจะออกไปข้างนอก!” เด็กสาวออกปากไล่เสียงดัง หวังให้แขกของบ้านรีบออกไปเสียก่อนที่เธอจะทนไม่ไหวแล้วปล่อยโฮออกมาต่อหน้าอาสาว ตั้งแต่ผ่านงานศพของปู่สง่ามานี้ ศรีสุภาก็ทวีความใจร้ายกับเต็มเดือนมากขึ้นอย่างคาดไม่ถึงเลย
“อาไปก็ได้ ฝากบอกพ่อกับแม่ของแกด้วยล่ะว่าอาขอบใจ อาได้เงินคืนมาครบแล้ว ถือว่าไม่ติดหนี้อะไรกันอีก” ศรีสุภาลุกขึ้นยืนหลังตรง พูดทิ้งท้ายแค่นั้นก่อนจะยอมเดินกลับออกไปแต่โดยดี
ความจริงแล้วเต็มเดือนไม่ได้คิดจะออกไปไหน เธอแค่อยากให้อาออกไปจากบ้านของเธอเท่านั้น พอได้ยินเสียงประตูบ้านปิดลง อารมณ์กรุ่นโกรธที่มีจึงผ่อนคลายลงได้บ้าง เด็กสาวยกมือปาดน้ำตาที่ไหลนองแก้มใสลวกๆ ไม่แน่ใจว่าที่น้ำตาไหลออกมาเป็นทางอย่างนี้เพราะโกรธหรือว่าเสียใจกันแน่ที่ถูกอาแท้ๆ พูดจาดูถูกอย่างไม่ถนอมน้ำใจกันแบบนี้
ต่อให้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ศรีสุภาพูดแบบนี้กับเต็มเดือนก็เถอะ แต่เธอก็ไม่อาจจะทำใจให้ชินและคิดว่านี่เป็นเรื่องปกติของคนแบบศรีสุภาได้เลย ส่วนใหญ่แล้วคนที่ต้องทนฟังคำพูดถากถางเหน็บแนมจากศรีสุภาคือพวกผู้ใหญ่เสียมากกว่า ทั้ง ‘ศิลป์’ กับ ‘กำไล’ ผู้เป็นพี่ชายคนโตกับสะใภ้ใหญ่ของบ้าน และรวมไปถึงศรกับบราลีก็เช่นกัน เท่าที่เต็มเดือนพอจะจำความได้ศรีสุภานั้นค่อนข้างจะ…ไม่เป็นมิตรกับคนในครอบครัวนัก หล่อนทั้งห่างเหินกับสง่าและกิมเน้ยผู้เป็นพ่อแม่ของตัวเอง หล่อนไม่ชอบพอใครทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นพี่ชายสองคนของหล่อนหรือแม้แต่ภรรยาของพวกพี่ๆ ก็ตาม และศรีสุภาก็ไม่แคร์ด้วยว่าพี่ๆ ของหล่อนจะมีชีวิตเป็นอย่างไร หล่อนใช้ชีวิตอยู่กับความภูมิใจของตัวเองที่มีงานมั่นคง มีฐานเงินเดือนที่สูงขึ้นได้เรื่อยๆ และเป็นคนเดียวที่มีเงินเก็บมากที่สุดในบรรดาสามพี่น้อง นั่นทำให้บางครั้งเมื่อพวกพี่ชายมีปัญหาเรื่องเงินๆ ทองๆ พวกเขาก็มักจะต้องมาขอให้น้องเล็กอย่างศรีสุภาช่วยเสมอ รวมถึงบ้านของเต็มเดือนด้วย
เพราะความที่ศรีสุภาเป็นคนยื่นมือเข้ามาช่วยครอบครัวเต็มเดือนเรื่องหนี้สินที่รุมเร้าอยู่คราวนั้น ทำให้ศรและบราลีต่างเกรงใจศรีสุภามากจนบางครั้งก็ทำให้หล่อนชอบที่จะข่มพ่อกับแม่ของเต็มเดือนทุกครั้งที่ได้เจอหน้ากัน พอถึงวันที่ศรได้รับมรดกจำนวนหนึ่งจากสง่าจนสามารถนำมาใช้หนี้ได้ ศรกับบราลีก็ไม่ลังเลเลยที่จะนำมรดกก้อนนั้นไปใช้หนี้ศรีสุภา
ความสัมพันธ์ของศรีสุภากับหลานๆ ก็ไม่อาจเรียกได้ว่ามีเยื่อใยอะไรต่อกันนัก อย่างที่บอกไป ศรีสุภาวางตัวออกห่างจากครอบครัวมาหลายปีแล้วไม่ว่าจะกับพี่ชายหรือพี่สะใภ้ ยิ่งเจ้าตัวออกจากบ้านไปอยู่คอนโดฯ กับเพื่อนสนิทหลายปีก็ยิ่งทำให้ลูกสาวคนเล็กของสง่าห่างเหินกับที่บ้านเข้าไปอีก พอมีหลาน หล่อนก็ไม่ได้มาเล่น มาเลี้ยง หรือมาสนิทสนมรักใคร่อะไรด้วย ออกจะห่างเหินไม่ยุ่งเกี่ยวกันเสียมากกว่า
เต็มเดือนจำได้ว่าเธอเห็นศรีสุภาบ่อยครั้งที่สุดก็สองช่วงเท่านั้น คือช่วงที่ปู่กับย่าแท้ๆ ของเต็มเดือนป่วยแล้วกำลังจะจากไปนั่นเอง ซึ่งความสัมพันธ์ของหลานสาวอย่างเต็มเดือนกับอาอย่างศรีสุภานั้นจัดว่าเป็นคนแปลกหน้าต่อกันอยู่แล้ว แต่ความสัมพันธ์ของพวกเธอมาเริ่มแย่ลงอย่างเห็นได้ชัดก็หลังจากผ่านวันเปิดพินัยกรรมของสง่าไปแล้วนั่นเอง
วันที่ทุกคนได้รู้ว่าเต็มเดือนคือผู้ที่ได้รับมรดกที่ดินผืนงามจากปู่ผู้ล่วงลับนั้น คนที่ไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัดก็คือศรีสุภา เพราะมันคือที่ดินที่หล่อนต้องการมาโดยตลอด แต่สิ่งที่ศรีสุภาได้รับกลับมีแค่เงินสดในบัญชีกับที่ดินผืนกะทัดรัดที่มาพร้อมกับบ้านหลังเก่าสองชั้นที่หล่อนเติบโตมาพร้อมกับพวกพี่ชายเท่านั้น ในขณะที่เต็มเดือน เด็กอายุสิบเก้าที่ยังเรียนไม่จบกลับได้ที่ดินที่มีมูลค่ามากมายมหาศาลไปแบบหน้าตาเฉย
(ติดตามต่อในเล่ม)