“เลี้ยงข้าว?” เธอเลิกคิ้วตอบกลับมา
“วันนี้คุณช่วยผมทั้งวันเลย ผมอยากตอบแทนคุณบ้าง” ปาลบอกแล้วฉวยโอกาสถามต่อเป็นการสรุปเองโดยไม่รอคำตอบของเธอ “คุณมีร้านแนะนำบ้างไหม เอาร้านที่คุณยังไม่เคยกินแต่อยากลองก็ได้นะ”
“อืม…คุณได้ลองพวกโรตีชาชักแถวนี้บ้างหรือยังคะ นิตบอกว่าแต่ละร้านก็เด่นต่างกัน เห็นว่าค่ำๆ คนแถวนี้เขาก็ไปนั่งกินโรตีกันนะ ร้านที่ฉันเคยไปลองกินมีพวกส้มตำขายด้วย แต่ไม่รู้ว่าร้านอื่นจะมีอาหารให้กินเป็นเรื่องเป็นราวหรือเปล่า”
“ลองไปดูก่อนก็ได้…แต่ผมเดาว่าคุณกินโรตีแทนข้าวได้ไม่มีปัญหาใช่ไหม”
“ก็ประมาณนั้น” หญิงสาวหัวเราะแหะๆ “ยังไงมันก็เป็นแป้งนี่คะ ก็เหมือนขนมปังหรือข้าวน่ะแหละ”
“นั่นสิ” ปาลทำท่าเห็นด้วย “ผมก็กินโรตีแทนข้าวได้นะ ไม่มีปัญหา”
ฟองจันทร์ทำหน้าเหมือนแปลกใจ ก่อนจะหัวเราะเสียงใส ดวงตายิบหยี
“งั้นฉันว่าเราก็น่าจะพออยู่ด้วยกันได้นะ”
ปาลมองรอยยิ้มของเธอแล้วมุมปากก็ยกตัวตามอัตโนมัติ มันช่วยไม่ได้จริงๆ ที่จะยิ้มตามเมื่อได้เห็นรอยยิ้มสดใสนี้…ตัวเขาอยู่ที่สิงคโปร์ แต่ก็เคยได้ยินวลี ‘แจกความสดใส’ มาบ้าง และถ้าจะมีใครที่เหมาะกับวลีนี้ก็เห็นจะเป็นเธอนี่แหละ
“ดูจากแผ่นนี้แล้ว ถ้าจะลองกินให้ครบทุกเมนูคงต้องกินโรตีทุกวันอย่างน้อยวันละมื้อนะ”
ปาลนั่งอ่านเมนูบนกระดาษเอสี่เคลือบพลาสติก ครึ่งหนึ่งของหน้าเป็นเมนูโรตีล้วนๆ ส่วนอีกครึ่งเป็นเมนูของว่างและอาหารง่ายๆ จำพวกมาม่า ส่วนด้านหลังเป็นเมนูเครื่องดื่ม
ปกติชายหนุ่มถนัดอาหารคาวมากกว่าของหวาน ก่อนหน้านี้เขาจึงพุ่งเป้าไปที่การลองกินอาหารคาวเป็นหลัก แต่ก็ตั้งใจว่าจะลองโรตีชาชักสักครั้ง เขาไม่นึกว่าโรตีจะถูกดัดแปลงจนมีเมนูหลากหลายขนาดนี้ ไม่อย่างนั้นเขาคงจะหาเวลาลองโรตีให้เร็วกว่านี้ เผื่อจะได้มีโอกาสกินเมนูแปลกๆ ที่น่าสนใจให้ครบ
ฟองจันทร์เสนอว่าให้ลองสั่งโรตีธรรมดามาจานหนึ่ง เพราะโรตีแต่ละร้านมีลักษณะเฉพาะต่างกัน โรตีธรรมดาน่าจะแสดงเอกลักษณ์ได้ดีที่สุด นอกนั้นเธออยากกินโรตีมะตะบะปลาสมุนไพรกับโรตีภูเขาไฟลาวา เขาก็ตามใจเธอและสั่งของกินเล่นมากินเพิ่มสองสามอย่าง
“ฉันว่าเผลอๆ ต่อให้กินวันละมื้อก็อาจจะยังลองได้ไม่ครบเลย แต่ดีอย่างตรงถ้าไม่ได้มากินคนเดียวก็สั่งหลายเมนูแล้วเอามาแบ่งๆ กันได้” ฟองจันทร์หันไปมองหนุ่มใหญ่ที่หลังเคาน์เตอร์ชักชาอย่างคล่องแคล่ว “ฉันเห็นคนทำชาชักทีไรก็นึกถึงพวกการแสดงน้ำพุทุกทีเลย ที่มันเป็นเส้นน้ำสะบัดไปมาน่ะค่ะ สวยดี”
“อืม ก็จริงนะ ผมไม่เคยคิดเลยจนคุณพูดนี่แหละ”
“วันนี้เหนื่อยไหมคะ” จู่ๆ ฟองจันทร์ก็หันกลับไปหาเขาแล้วถาม “หรือว่าเป็นวันธรรมดาๆ ของเชฟ…คือตอนทำไส้ขนมนี่หนักมากนะ วางมือไม่ได้เลย ขนาดฉันช่วยพักเดียวยังล้า แล้วไหนจะตอนห่อแป้งเป็นหมอนอีก คุณฝึกทำต่อเนื่องตั้งหลายชั่วโมง”
“แล้วแต่ว่าเทียบกับช่วงไหนครับ ถ้าพูดถึงตอนผมเด็กกว่านี้ ยังต้องดิ้นรน อันนี้ถือว่าเบา เพราะผมเคยตื่นมาเข้างานตั้งแต่ตีสี่เลิกงานเที่ยงคืน แทบไม่มีวันหยุดเลยด้วย” ชายหนุ่มเล่าเสียงเรียบเรื่อย “เดี๋ยวนี้ผมกลายเป็นคนคุมงานมากกว่าแล้ว แต่วันนี้ก็ไม่ถือว่าหนักหนานะ”
“สุดยอดเลย” ดวงตาของสาวร่างเล็กเปล่งประกายชื่นชม “ฉันว่าคุณเท่มากเลยอ่ะ นี่ถ้าเป็นฉันคงท้อแล้วก็ถอดใจ แต่ถึงไม่ถอดใจก็คงเลิกไปก่อนแล้วค่อยมาทำใหม่ ฉันจะจำคุณไว้เป็นไอดอล”