“แหม ฉันสิคะที่ต้องพูดประโยคนั้น ฉันจะได้เป็นลูกค้าคนแรกของร้านเลยนะ…เอ๊ะ แต่จะใช้คำนี้ได้หรือเปล่า ถ้าเป็นลูกค้าก็ต้องจ่ายเงินสิ”
“คุณเป็นแขกของเจ้าของร้าน ได้รับสิทธิ์เป็นลูกค้ากินฟรีไง”
“โอเคค่ะ จะเป็นลูกค้าหรือไม่เป็นก็ขึ้นอยู่กับเจ้าของร้านเนาะ ถ้าเจ้าของร้านบอกว่าเป็นก็คือเป็น” เธอทุบกำปั้นลงบนฝ่ามืออีกข้างตัวเอง ดวงตาทอประกายสดใสอีกครั้ง
สองหนุ่มสาวเดินมาถึงร้านอาหารอีกครั้ง เขาปล่อยให้เธอก้าวขึ้นบันไดไปก่อน แต่พอเธอถึงบันไดขั้นบนสุดเขาก็ส่งเสียงถาม
“เรารอดูพระอาทิตย์ตกกันได้ไหม”
ฟองจันทร์หันกลับไปมองร่างสูง ก่อนจะเหลือบมองออกไปยังทะเล ยามนี้แผ่นฟ้าถูกย้อมด้วยสีชมพูส้ม ฉาบด้วยปุยเมฆเป็นหย่อม พิจารณาจากความสูงของดวงอาทิตย์แล้วน่าจะอีกพักใหญ่กว่ามันจะคล้อยต่ำลงไปทักทายผืนน้ำ ซึ่งนั่นแปลว่าต้องรอ…แต่เธอก็ยังพยักหน้ารับ
“ก็ได้ค่ะ ฉันไม่ได้รีบไปไหนอยู่แล้ว”
ปาลยิ้ม ก่อนที่เขาจะเหลือบไปเห็นการเคลื่อนไหวของพนักงานภายในร้านอาหารผ่านทางผนังกระจก
“งั้นเดี๋ยวผมเข้าไปดูข้างในแป๊บนึงนะ ท่าทางคงเสร็จกันแล้ว”
หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งตรงบันไดขั้นสุดท้าย ปล่อยให้ร่างสูงเดินกลับเข้าไปภายในอาคาร เธอนั่งเท้าคางมองสีสันอันงดงามของผืนฟ้า ขณะเดียวกันก็ครุ่นคิดถึงคำที่เขาเลือกใช้ในประโยคคำถามเมื่อครู่…เขาถามว่า ‘ได้ไหม’ ไม่ใช่ ‘ดีไหม’ มันเหมือนเขากำลังขออนุญาตเธอมากกว่าเชิญชวน
สำหรับคนที่หาเลี้ยงชีพด้วยการเรียบเรียงถ้อยคำอย่างเธอ มันช่วยไม่ได้จริงๆ ที่จะสะดุดหู…ก็ลองเปลี่ยนประโยคสักนิด แล้วเปรียบเทียบระหว่าง ‘อยู่กับผมต่อได้ไหม’ กับ ‘อยู่กับผมต่อดีไหม’ ดูสิ ให้ความรู้สึกต่างกันเห็นๆ
แต่เราอาจจะคิดมากไปก็ได้ ฟองจันทร์ยกมือขึ้นใช้ปลายนิ้วคลึงขมับทั้งสองข้างเพื่อไล่ความคิดเพ้อเจ้อทิ้งไป
“คุณปวดหัวเหรอ”
เสียงถามลอยมาก่อน แล้ววินาทีถัดมาร่างสูงก็ทรุดตัวลงนั่งข้างเธอ
“เปล่าค่ะ แค่ทำพิธีไล่ความคิดที่ไม่จำเป็นทิ้งไป”
“ด้วยการทำท่าแบบอิกคิวซังเนี่ยเหรอ” เขาเลิกคิ้วถามขันๆ
“มีท่าประกอบมันรู้สึกเหมือนฉันลงมือไล่มันไปจริงๆ ไงคะ” เธออธิบายกลั้วหัวเราะ “พวกพนักงานกลับไปแล้วเหรอคะ”
“อืม งานเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว”
หญิงสาวพยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงรับรู้จากนั้นก็นิ่งไป ปาลเองก็ไม่ได้พูดอะไรอีกสองหนุ่มสาวนั่งฟังเสียงคลื่นมองพระอาทิตย์ค่อยๆ เคลื่อนตัวลงไปหาผืนน้ำกันเงียบๆ พักหนึ่ง จนกระทั่งชายหนุ่มเป็นฝ่ายทำลายความเงียบลง
“ผมพยายามนั่งนึกว่าครั้งสุดท้ายที่ได้นั่งดูพระอาทิตย์ตกดินแบบนี้คือเมื่อไหร่ นึกไม่ออกเลย มันนานมากแล้วจริงๆ”
“ของฉันน่าจะเป็นทริปเที่ยวครั้งที่แล้ว น่าจะสักครึ่งปีก่อน” ฟองจันทร์ทำท่านึก “แปลกเนาะ ตอนอยู่บ้านไม่ได้ดูพระอาทิตย์ตกกัน ต้องมาดูไกลบ้าน”
พูดยังไม่ทันขาดคำ น้ำหยดหนึ่งก็ตกลงบนกลางหน้าผากของหญิงสาว ตามด้วยน้ำหยดอื่นๆ
“ฝนตกนี่นา”
พอสิ้นเสียงร่างสูงก็ผุดลุกขึ้น มือใหญ่ดึงเธอให้ยืนด้วย แล้วเขาก็กึ่งจูงกึ่งลากฟองจันทร์ให้เข้าไปอยู่ใต้ชายคาเฉลียงเต็มตัว…ฝนโปรยลงมาเป็นสายอย่างรวดเร็วแม้ไม่หนาเม็ด ขณะเดียวกันท้องฟ้าก็ยังเป็นสีสดสว่าง
“แหม จะดูพระอาทิตย์ตกเสียหน่อย อยู่ดีๆ ฝนก็ตกซะงั้น” เธอบ่นงึมงำ
“คงไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับแถวนี้” ปาลออกความเห็น “ไม่รู้ฝนจะตกหนักขึ้นหรือเปล่า ยังไงผมไปส่งคุณกลับบ้านก่อนดีกว่า แล้วเราค่อยมาดูพระอาทิตย์ตกด้วยกันใหม่”
ประโยคสุดท้ายทำให้หญิงสาวต้องเหลือบมองร่างสูง แต่เธอก็ตัดสินใจจะไม่ออกความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ แล้วเดินนำไปเปิดประตูเข้าสู่ร้านอาหารเพื่อทะลุออกไปสู่ทางเดินของโรงแรม ก่อนที่เธอจะนึกขึ้นได้
“เอ๊า ฉันทิ้งร่มเอาไว้ในรถคุณซะงั้นเลย”
เมื่อเช้าตอนเขาไปรับที่บ้านของฐิตานันท์ เธอกำลังเก็บร่มพับซึ่งเพื่อนเอาไปใช้ตอนเดินข้ามไปยังบ้านแม่ของพิทักษ์และกางตากเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ครั้นขึ้นรถเธอก็สอดมันไว้ตรงซอกระหว่างเบาะแถวตัวล็อกเข็มขัดนิรภัย ไม่ได้เอาใส่กระเป๋าสะพาย แล้วก็ลืมไปเลย
“อยู่ตรงข้างเบาะของคุณใช่ไหม คุณรอนี่นะ เดี๋ยวผมไปเอาร่มมาให้”
“เดี๋ยวค่ะ แบบนั้นคุณก็เปียกสิ…ไม่ต้องหรอก ฉันไปพร้อมกับคุณแหละ ฝนปรอยๆ เอง” ฟองจันทร์เผลอคว้าท่อนแขนแข็งแรงหมับ
“ผมชวนคุณมา ถ้าผมดูแลคุณได้ไม่ดีแล้วผมจะกล้าชวนคุณมาอีกได้ไง” ปาลหันไปยิ้มให้เธอ จากนั้นเขาก็เปิดประตูแล้ววิ่งฝ่าสายฝนออกไปยังรถที่จอดไว้ในลานด้านหน้า
หญิงสาวได้แต่ยืนมองเขาเคลื่อนห่างออกไป ผ่านไปพักหนึ่งเขาก็เดินกลับมาพร้อมกับร่มของเธอ…ร่มคันไม่ใหญ่ เธอเลยขยับไปเดินตัวชิดติดกับร่างสูง เธอพึมพำขอบคุณพร้อมกับลอบสังเกตเขาไปด้วย แม้ฝนจะไม่ได้หนาเม็ดมากแต่เนื้อตัวของเขาก็เปียกพอสมควร หัวใจเต้นตึกตักอย่างช่วยไม่ได้
ผู้ชายอะไร…ทำไมเป็นสุภาพบุรุษได้ขนาดนี้ก็ไม่รู้
ติดตามต่อไปในเล่ม…