“อื้อ…”
กีรณารู้สึกตัวขึ้นในตอนสายๆ ของวันต่อมา ร่างบางยังคงหลับตาและนอนอยู่บนเตียงขณะกำลังยกมือขึ้นคลึงขมับเพราะรู้สึกปวดศีรษะซึ่งเป็นผลมาจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปเมื่อคืนนี้จนทำให้หญิงสาวถึงขั้นต้องสาบานกับตัวเองในใจว่าต่อไปเธอจะไม่ดื่มมันอีกแล้ว
ขณะนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียงก็ดังขึ้น หญิงสาวสบถเบาๆ ด้วยความเซ็งเพราะเธอยังไม่พร้อมจะตื่น
ถึงกระนั้นกีรณาก็ควานมือหาโทรศัพท์มือถือทั้งที่ยังหลับตาอยู่เพื่อหยิบมันขึ้นมารับสาย…นี่ขนาดเธอดื่มไปแค่ไม่กี่แก้วยังรู้สึกมึนศีรษะและหลับยาวขนาดนี้ อีกทั้งฤทธิ์แอลกอฮอล์ยังทำให้ปวดศีรษะจนน่าหงุดหงิดด้วย ไม่รู้ว่าพวกที่ดื่มบ่อยๆ อดทนดื่มมันเข้าไปได้ยังไง
“สวัสดีค่า”
หญิงสาวรับสายโดยไม่ลืมตาดูแม้กระทั่งชื่อที่โชว์อยู่บนหน้าจอ
“โห! นี่แกยังไม่ตื่นอีกเหรอ”
“ใครอ่ะ”
“อะไรวะ! นี่จำกันไม่ได้แล้วหรือไง”
คำพูดที่ปลายสายใช้แสดงความสนิทสนมและน้ำเสียงก็คุ้นหูมาก กีรณาใช้เวลานิ่งคิดไม่นานก็พอจะเดาออกว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
“นี่วรรณเหรอ”
“เออ! ฉันเอง ไม่ได้ติดต่อกันแค่เดือนเดียวแกจำเสียงฉันไม่ได้แล้วหรือไง”
“เดือนเดียวก็นานแล้วเหอะ แล้วที่โทรมานี่มีอะไรหรือเปล่า”
“โทรมาคุยเล่นไม่ได้หรือไง นี่เพื่อนไงงง”
“คุยได้ๆ แต่เราไม่ได้คุยโทรศัพท์กันมาเป็นเดือนแล้วนี่นา ฉันก็เลยสงสัย”
กีรณาหาวเบาๆ ขณะดันตัวเองลุกขึ้นนั่งเพราะถึงจะยังงัวเงียอยู่ก็ไม่อยากหลับต่อแล้ว อีกทั้งดูท่าทีแล้วน่าจะต้องคุยกับ ‘วรรณ’ หรือ ‘วรรณสา’ เพื่อนสนิทสมัยเรียนมหาวิทยาลัยต่ออีกนาน
แต่…จะบอกว่าเป็นเพื่อนสนิทก็คงไม่ใช่เสียทีเดียวหรอก
ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนไม่ได้แนบแน่นขนาดนั้น เพียงแต่กีรณาต้องทำงานพิเศษมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลายเรื่อยมาจนถึงระดับมหาวิทยาลัยทำให้เธอมีเพื่อนสนิทน้อยมาก เพราะแทบไม่ได้ไปแฮงก์เอาต์กับเพื่อนๆ ส่วนวรรณสาเองก็มีปัญหาเรื่องเงินทำให้จำเป็นต้องทำงานพิเศษไม่ต่างกัน
ดังนั้นทั้งสองคนจึงเป็นพวก ‘หัวอกเดียวกัน’ เวลาทำงานกลุ่มก็เลยต้องเกาะกลุ่มกันเอาไว้ หรือเวลาไม่ได้เข้าเรียนก็จะฝากให้อีกฝ่ายเก็บเอกสารหรือถ่ายเอกสารประกอบการเรียนการสอนให้จนกลายเป็นเพื่อนที่พูดคุยกันบ่อยที่สุด ถึงกระนั้นทั้งสองคนก็ไม่ค่อยได้รับรู้เรื่องส่วนตัวของกันและกัน
จะเรียกว่าเป็นความสัมพันธ์แบบ ‘พึ่งพากัน’ ก็คงไม่ผิดนัก
นับตั้งแต่เรียนจบมหาวิทยาลัยมานานๆ ครั้งกีรณากับวรรณสาถึงจะติดต่อกันผ่านทางโทรศัพท์มือถือหรือแม้กระทั่งไลน์ส่วนตัว แต่ทั้งสองก็รับรู้เรื่องราวในชีวิตของกันและกันผ่านช่องทางการติดต่อในโลกออนไลน์ ทั้งเฟซบุ๊กและอินสตาแกรมตามประสาคนทั่วไปในยุคสมัยนี้
“ความจริงก็มีธุระนิดหน่อยแหละ”
“ว่า?”
“ฉันเห็นแกเขียนสเตตัสลงเฟซบุ๊กเมื่อคืนนี้ไง ชีวิตมันจะซวยอะไรขนาดนั้นวะกี้”
“เออ! ซวย…ซวยมาก ซวยจนฉันงงไปเลย”
เมื่อเพื่อนถาม ‘ถูกจุด’ กีรณาก็ได้ทีระบายความเครียดที่ยังคั่งค้าง ปกติหญิงสาวเป็นพวกไม่ค่อยระบายความรู้สึกหรืออัพเดตชีวิตส่วนตัวลงในโลกโซเชียลอยู่แล้ว สองสามวันถึงจะอัพสเตตัสทีเพื่ออัพเดตให้เพื่อนรู้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ แต่เมื่อวานหลังจากตกงานหมาดๆ เธอก็ทนไม่ไหวจนต้องเขียนระบายลงในเฟซบุ๊ก อีกทั้งยังประกาศหางานไปในตัวว่าหากเพื่อนคนไหนมีงานแนะนำให้ติดต่อเธอมาด้วย