กีรณาฝืนยิ้มอีกครั้งเพราะหญิงสาวรู้สึกได้ถึงความห่วงใยจากดวงตาสีดำคมกริบคู่นั้น เธอเข้าใจว่าเชษฐ์คงอยากปลอบใจเธอ แต่เขาคงเป็นคนพูดปลอบใจใครไม่เก่งนัก
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อันที่จริงกี้ก็ค่อนข้างชินกับชีวิตที่โชคร้ายแบบนี้แล้ว เพียงแต่ช่วงนี้มันกระหน่ำมาเกือบจะพร้อมกันไปหน่อย กี้ก็เลยรับมือไม่ค่อยทัน”
“แล้วคุณพ่อกับคุณแม่กี้ล่ะ”
“ท่านเสียไปนานแล้วล่ะค่ะ กี้อยู่กับน้องชายแค่สองคน” เกิดความเงียบขึ้นหนึ่งอึดใจ…ใบหน้าหล่อเหลาแสดงความกระอักกระอ่วนใจเหมือนเขาคิดว่าตนเองไม่น่าถามเรื่องสะกิดใจเธอ “แต่น้องชายกี้ก็ใกล้จะเรียนจบแล้ว อีกหน่อยชีวิตก็คงเข้าที่เข้าทาง แล้วกี้ก็น่าจะสบายใจขึ้น”
“ผมขอโทษนะที่ถามเรื่องนี้”
“ไม่เป็นไรค่ะ เรื่องผ่านมานานแล้ว กี้ทำใจได้แล้วค่ะ”
“แล้วกี้…ไม่ต้องการใครสักคนมาดูแลบ้างเหรอ”
“หมายความว่ายังไงคะ” เธอถามอย่างไม่เข้าใจนัก “มี ‘เสี่ยเลี้ยง’ อะไรทำนองนี้เหรอคะ ไม่เอาดีกว่าค่ะ กี้สู้ด้วยตัวเองมาขนาดนี้แล้ว อีกอย่างโลกนี้ก็ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ หรอก มีคนมาเลี้ยงดูก็อาจสบายขึ้นแต่มันก็คงต้องแลกกับอะไรหลายๆ อย่าง อย่างน้อยๆ กี้ก็ต้องนอนกับผู้ชายที่กี้ไม่ได้รัก”
“แล้วแฟนกับคนรักล่ะ” เขาถามต่ออย่างใจเย็นแต่กลับทำให้คนถูกถามชะงักเล็กน้อย “อย่างน้อยๆ กี้ก็จะมีคนไว้ปลอบใจหรือช่วยคิดแก้ไขปัญหาในเวลาที่เจอกับมรสุมแบบนี้นะ”
“ไม่ดีกว่าค่ะ คนที่เพิ่งเลิกไปก็ไม่เคยเห็นจะช่วยอะไรกี้เลย แถมยังนอกใจจนกี้จับได้คาหนังคาเขา กี้ว่าถ้ากี้ไม่ว่างมาก กี้ไม่มีแฟนมาให้เป็นภาระตัวและหัวใจดีกว่า” หญิงสาวยิ้มขำ แต่เธอก็เคยคิดอย่างนั้นจริงๆ กระทั่งได้มาพบกับเขา เธอถึงได้เปิดใจลองศึกษาใครสักคนอีกครั้ง
“กี้พูดแบบนี้ผมใจฝ่อเลยนะ”
เชษฐ์ทำหน้าเหมือนถูกตัดกำลังใจ ทีแรกกีรณากำลังคิดในใจว่าคืนนี้เธอจะได้เห็นเขาในหลายแง่มุม แต่ก็สะดุดกับคำพูดของเขาก่อน…เชษฐ์บอกว่า ‘ใจฝ่อ’ เมื่อเธอบอกเขาในทำนองว่ายังไม่อยากมีคนรัก
นี่แสดงว่าเขากำลังคิดจะจีบเธอจริงๆ อย่างนั้นหรือ
ความจริงหญิงสาวก็พอจะรู้อยู่บ้างว่าเขาคงสนใจในตัวเธอ ไม่เช่นนั้นคงไม่ชวนมาดื่มต่อแบบนี้ ทว่าพอเขาสื่อมันออกมาด้วยคำพูดให้เธอได้รับรู้ก็ทำให้เธออดนิ่งงันไปไม่ได้เหมือนกัน
กีรณาประสานสายตากับคนตัวสูงราวกับจะค้นลึกลงไปถึงหัวใจเขา และชายหนุ่มก็มองตอบเธอกลับมาราวกับจะบอกว่าเขายินดีให้เธอได้ค้นหัวใจ…วินาทีนั้นหญิงสาวหัวใจเต้นแรงไม่เป็นส่ำ ใบหน้าร้อนผ่าว เธอขยับตัวอย่างร้อนรนเล็กๆ และหวั่นไหวจนต้องรีบเปลี่ยนเรื่องคุย
“เอ่อ…คุณเชษฐ์มีรอยแผลเป็นใต้ตาซ้ายด้วยเหรอ”
ร่างบางถามเมื่อสังเกตเห็นรอยแผลเป็นเส้นเล็กๆ ที่ปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลา…ไม่รู้ว่าที่ผ่านมาเธอไม่ได้คุยกับเขาใกล้ๆ แบบนี้หรือเพิ่งสังเกตเห็น แต่ที่แน่ๆ คือรอยแผลเป็นดังกล่าวไม่ได้น่าเกลียด แต่ตรงกันข้าม…มันกลับส่งเสริมลุคผู้ชายเข้มๆ ของเขาให้มีเสน่ห์เข้มข้นขึ้นไปอีก
“อ้อ…ใช่ครับ” เชษฐ์ตอบรับเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ ถ้าให้กีรณาเดาคือเขาคงไม่ได้ใส่ใจการมีอยู่ของมันเท่าไหร่นัก “ผมได้มันมาตอนไปปาร์ตี้กับเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย”
“ช่วงนั้นคุณคงไม่ใช่เล่นๆ เลยนะคะเนี่ย”
หญิงสาวถามปนขำเมื่อนึกภาพสมัยที่เชษฐ์เรียนมหาวิทยาลัย ช่วงนั้นเขายังเป็นวัยรุ่น น่าจะเลือดร้อนพอตัว และคนอย่างเขาคงเป็น ‘ตัวแสบ’ ในกลุ่มเพื่อนแน่ๆ
“เกเรนิดหน่อยครับ”
เชษฐ์ตอบรับพร้อมรอยยิ้มเช่นกัน เพราะพอนึกไปถึงหลายวีรกรรมที่ทำในสมัยเรียนแล้วก็อดขำไม่ได้ แต่มันก็เป็นประสบการณ์ในชีวิตที่หล่อหลอมให้เป็นเขาในวันนี้