“แต่ถ้าจะขี้เกียจ ฉันก็แค่ขี้เกียจยุ่งยากวุ่นวายกับคนบางคนเท่านั้นแหละ” เธอบอกด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้นเล็กน้อย “สรุปว่าวันนี้คุณมาเพื่อชวนคุยจริงๆ ใช่ไหม ฉันบอกจะทำงานคุณก็ชวนคุยไม่หยุดเลย แล้วมาหาก็ไม่นัดล่วงหน้า”
“มาหาคุณที่บ้านนี่ต้องนัดก่อนเสมอเลยเหรอ” เขาถามเสมือนตกใจมาก “ท่าทางคุณดูไม่ใช่คนซีเรียสเบอร์นั้น”
“ก็ถ้าฉันติดลูกค้าอยู่มันก็จะวุ่นวายมาก” เธอบอกเหตุผล
“งั้นถ้าเป็นแฟนก็ต้องนัดกันก่อนจะมาเจอด้วยรึไง”
“ไม่รู้สิ ยังไม่เคยคิดไว้ว่าถึงตอนนั้นจะต้องทำยังไง ฉันเคยมีแฟนอยู่คนเดียว แต่คบได้ไม่กี่วันก็เลิกกันทั้งที่ยังไม่ทันสนิทถึงขั้นมาหาที่บ้านได้แบบไม่ต้องนัดล่วงหน้าด้วย”
อีกฝ่ายฟังแล้วเงียบไป มองเธอด้วยสายตาแปลกๆ จนคนถูกมองสัมผัสได้
“นี่ฉันไม่ได้คิดไปเองใช่ไหม ที่รู้สึกว่า…กำลังถูกคุณมองด้วยสีหน้าแววตาเหมือนเวทนาสงสารยังไงชอบกล นี่แสดงว่าคงได้ฟังเรื่องเกี่ยวกับแฟนเก่าที่แสนดีของฉันจากอิษมาบ้างแล้วล่ะสิ”
“อื้อ”
“ปากสว่างไม่มีใครเกินเลยเนอะ น้องชายคุณเนี่ย” เธอว่าอิษฎาแต่ค้อนเคืองใส่เขา
ระหว่างนั้นเองโทรศัพท์รัญชน์รวิชญ์ก็ส่งเสียงเตือนสายเข้า พอแพรภัทรแอบฟังหลังจากเขารับสายก็จับใจความได้ว่าปลายสายโทรมาชวนไปที่ไหนสักแห่ง แต่เขากลับปฏิเสธอย่างไม่ลังเลโดยอ้างว่าติดธุระสำคัญอยู่ ดังนั้นทันทีที่เขาวางสายเธอจึงรีบถาม
“คุณไม่ได้ติดธุระอะไรเลยไม่ใช่เหรอ คุณบอกฉันว่าวันนี้ว่างทั้งวัน แล้วเขาโทรมาชวนไปไหนทำไมไม่ไป”
“เพื่อนชวนไปกินข้าว แต่ผมไม่อยากไป ไม่ค่อยสนิทเท่าไหร่”
“เพื่อนที่โทรมาชวนคุณไปกินข้าวเนี่ยนะ…ไม่สนิท”
“ก็วันนี้ไม่อยากสนิท”
เธอฟังคำตอบเอาแต่ใจอย่างหน้าตาเฉยของเขาแล้วถึงกับรับไม่ได้ “ท่าทางคุณไม่เห็นจะนิสัยดีอย่างที่ใครเขาว่ากันเลยสักนิด”
“แล้วผมนิสัยไม่ดีตรงไหน”
“ก็…ไม่รู้อ่ะ แต่คุณดูเอาแต่ใจสุดๆ”
“ผมแค่เลือกทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ แต่ที่คนส่วนใหญ่คิดว่าผมนิสัยดี คงเป็นเพราะปกติแล้วผมจะเป็นคนมีมารยาทและรู้กาลเทศะ”
“แปลว่าเวลาจะทำอะไรสักอย่าง คุณไม่ได้ทำด้วยความจริงใจเสมอไป?”
“ก็แล้วแต่กรณี”
“นี่ถ้าไม่ใช่ดาราและไม่ได้เป็นคนมีชื่อเสียง คุณก็คงทำตัวแย่ๆ แบบตามสบายโดยไม่ต้องห่วงภาพลักษณ์เลยกระมัง”
“ผมไม่ได้มีมารยาทและรู้กาลเทศะเพราะห่วงภาพลักษณ์ แต่มันถือเป็นเรื่องพื้นฐานทั่วไปที่ทุกคนต้องทำ”
“แต่เวลาเห็นข่าวชื่นชมคุณงามความดีของคุณ ที่เขาบอกว่าคุณเป็นคนแบบนั้นแบบนี้ นิสัยดีอย่างนั้น ชอบทำเรื่องดีๆ อย่างนี้…ฉันจะรู้สึกว่าตัวเองแย่ทุกทีเลย”
“ทำไมล่ะ เท่าที่เห็นอยู่คุณก็ดูเป็นคนดีกว่าผมเสียอีกนี่นา ดูเป็นคนดีอย่างเป็นธรรมชาติด้วย” เขาออกปากชมอย่างจริงใจเป็นครั้งแรก ทำเอาคนโดนชมทำตาโตอย่างคาดไม่ถึง แต่เธอก็ยอมรับด้วยการพยักหน้าเบาๆ โดยไม่คิดจะปฏิเสธคำพูดเขาให้ยุ่งยาก
บางทีรัญชน์รวิชญ์อาจจะรู้สึกเหงาจริงๆ ถึงได้มาวอแวเธอที่บ้าน นอกจากหวังจะไถ่โทษที่เคยกล่าวหาด้วยความเข้าใจผิดว่าเธอเป็นแฟนคลับโรคจิตแล้ว การมาที่นี่อาจจะทำให้เขารู้สึกปลอดภัยด้วยกระมัง เนื่องจากไม่รู้สึกถึงอารมณ์พิศวาสอันลึกซึ้งจากเธอ และคงเชื่อมั่นว่าเธอไม่ได้มีความคาดหวังใดๆ ในตัวเขาเลย
แต่อย่างไรก็ตาม ตลอดเวลาที่ใกล้ชิดเขา แพรภัทรจะคอยเตือนตัวเองให้มีสติยั้งคิดอยู่เสมอว่าเธอต้องไม่เผลอใจหวั่นไหวไปกับมิตรภาพที่เขาหยิบยื่นให้โดยเด็ดขาด เพราะเธอก็รู้ดีเท่ากับคนอื่นๆ ว่าปกติแล้วรัญชน์รวิชญ์มีไมตรีและแสนดีกับทุกคนเหมือนๆ กันหมด ยิ่งกับเธอซึ่งเป็นคนที่เขาเคยว่าร้ายเพราะความเข้าใจผิด ก็ยิ่งเป็นธรรมดาที่เขาจะต้องทำดีด้วยเพื่อลบล้างความผิดที่ตัวเองเคยทำ
โปรดติดตามตอนต่อไป…