ในเมื่อฉางเฮิ่นบอกว่าสภาพมันในตอนนี้ไม่ใช่เพราะได้รับบาดเจ็บ เช่นนั้นก็เกิดจากสาเหตุอื่น สิ่งที่เขาสามารถทำได้มีเพียงทำให้มันรู้สึกสบายขึ้นบ้าง
นิ้วมือวาดผ่านขนของมัน ยังคงนุ่มลื่นแต่ทุกจุดที่สัมผัสกลับเย็นเฉียบไปทั้งแถบ
ชิงโม่เหยียนยื่นมือไปปลดแถบรัดเอวชุดขุนนาง คลายคอเสื้อชุดคลุม แล้ววางเจ้าก้อนขนเข้าไปอย่างระมัดระวัง
พอได้รับความอบอุ่นแล้ว หรูเสี่ยวนันก็ส่งเสียงครางออกมาอย่างไม่รู้ตัว หัวขยับเข้าไปในอ้อมอกของเขา
ชิงโม่เหยียนนั่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับ ตลอดทั้งบ่ายเขาเอาแต่ให้ไออุ่นแก่เจ้าก้อนขนในอ้อมอก จนกระทั่งแสงอาทิตย์อัสดงสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง
อุณหภูมิร่างกายของเจ้าก้อนขนค่อยๆ กลับมา แม้ว่ามันจะยังคงปิดตาอยู่ แต่ชิงโม่เหยียนสามารถรับรู้ได้ว่าลมหายใจของมันเริ่มผ่อนกลับมาเป็นปกติและดูมีเรี่ยวแรงขึ้น
“ซื่อจื่อ…” เสียงของเสวียนอวี้ดังขึ้นที่นอกประตู
“มีเรื่องอะไร”
“หุ่นไม้ตัวนั้น…ทำลายมันทิ้งตามคำสั่งของท่านแล้ว แต่ว่า…”
“แต่ว่าอะไร”
“พวกเราคิดหาวิธีมากมาย แต่หุ่นไม้ตัวนั้นเผาอย่างไรก็ไม่ไหม้ขอรับ”
เผาไม่ไหม้หรือ!
ชิงโม่เหยียนเอาหรูเสี่ยวนันออกจากอ้อมอกมาวางไว้บนเตียง จากนั้นก็ดึงผ้าห่มมาคลุมตัวมัน ลูบหัวมัน แล้วหมุนตัวตามเสวียนอวี้ออกไป
ภายในห้องไม่มีใคร หรูเสี่ยวนันนอนหลับสนิท
ภายใต้แสงอาทิตย์อัสดงสาดส่อง ลำแสงอ่อนๆ ตกกระทบบนตัวของนาง เห็นร่างของหญิงสาวคนหนึ่งได้รางๆ…ชัดบ้างจางบ้างสลับกันไปมา…
ชิงโม่เหยียนเดินตามเสวียนอวี้ออกไปข้างนอก นอกห้องหนังสือมีคนมารวมตัวกันไม่น้อย แม้แต่ทังเซียนเซิงเสมียนศาลกับกู้เซียนเซิงเจ้าหน้าที่จดบันทึกของศาลต้าหลี่ล้วนอยู่ในกลุ่มคนด้วย
เสวียนอวี้ชี้ไปบนกล่องไม้ที่วางอยู่บนพื้นแล้วพูดว่า “เมื่อครู่ข้าลองให้คนเอาหุ่นไม้ไปเผา แต่ไฟฟืนมอดแล้ว หุ่นไม้ตัวนั้นกลับยังอยู่ดีไม่เสียหายเลยแม้แต่น้อย”
ชิงโม่เหยียนขมวดคิ้ว พ่นคำออกมาสองคำ “ลองใหม่”
เสวียนอวี้จึงสั่งคนงานให้ยกกระถางไฟมา เติมถ่านเข้าไปต่อหน้าทุกคน แล้วเอากล่องที่ใส่หุ่นไม้โยนเข้าไป
กล่องไม้เจอถ่านไฟก็ส่งเสียงลั่นดังเปรี๊ยะๆ ไม่นานก็เกิดไฟลุกขึ้นมา
สายตาของทุกคนล้วนไปอยู่ในกระถางไฟ มองดูกล่องไม้ค่อยๆ ถูกเผาจนไหม้หมดในกองไฟ
หุ่นไม้ค่อยๆ โผล่ออกมา ท่ามกลางเปลวไฟสีทอง ใบหน้าหยกแกะสลักที่อยู่ในสภาพดูทุลักทุเลจ้องมองพวกเขา หางตายกโค้ง ดูประหลาดอย่างบอกไม่ถูก