บทที่ 1 สายฝน+ไหวพริบ
ต้นฤดูใบไม้ผลิเมืองเซิ่งจิงมีฝนตกชุก ราวกับผ้าไหมผืนบางที่ปกคลุมผืนฟ้า ทำให้ลานที่รกร้างเงียบเหงาของที่ว่าการเมืองหลวงเปียกแฉะไปทั่ว
ที่บันไดหินหน้าห้องโถงใหญ่เหลียงเว่ยผิงเสมียนแห่งที่ว่าการเมืองหลวงก้าวเท้าถี่ๆ กลับไปกลับมาด้วยความร้อนใจ เหยียบย่ำสายฝนในวสันตฤดูที่ตกพรำลงมาอย่างเงียบๆ ด้วยความกระวนกระวายใจเล็กน้อย
เสียงเด็กรับใช้ของที่ว่าการเมืองหลวงดังมาจากด้านหลัง “เสมียนเหลียง รถม้าของใต้เท้าซูจอดอยู่ที่ประตูที่ว่าการแล้วขอรับ…”
“รู้แล้วๆ” หัวใจของเหลียงเว่ยผิงเต้นเร็ว เขาดึงแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดเหงื่อเม็ดเล็กบนหน้าผาก
วันนี้เป็นวันที่ศาลต้าหลี่ได้รับพระราชโองการให้มารับช่วงต่อคดีฆ่าข่มขืนต่อเนื่องตั้งแต่ปีก่อนจากที่ว่าการเมืองหลวง เหลียงเว่ยผิงคาดการณ์ไว้นานแล้วว่าคดีนี้ร้ายแรง แต่ก็ไม่คาดคิดว่าฮ่องเต้จะมีพระราชโองการให้ซูโม่อี้เสนาบดีศาลต้าหลี่ซึ่งเป็นหลานชายของตนเองมารับช่วงต่อที่ที่ว่าการเมืองหลวงด้วยตนเอง
เวลานี้ผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้เดินทางมาถึงหน้าประตูแล้ว ทว่าหลินหวั่นชิงเจ้าหน้าที่จดบันทึกที่รับผิดชอบบันทึกคดีนี้มาโดยตลอดจนป่านนี้ก็ยังไม่ปรากฏตัว ในแวดวงขุนนางคนที่ตำแหน่งต่ำกว่าเพียงครึ่งหรือหนึ่งขั้นมักยอมอดทนต่อการรังแกของขุนนางที่ตำแหน่งสูงกว่า ต่อให้เป็นคดีทั่วไปก็ไม่มีทางให้ผู้ตัดสินเป็นฝ่ายรอเจ้าหน้าที่จดบันทึกโดยเด็ดขาด นับประสาอะไรกับผู้ที่นั่งอยู่ในห้องนี้วันนี้คือซูโม่อี้ขุนนางผู้โหดเหี้ยมอันดับหนึ่งของราชวงศ์ใต้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเมืองเซิ่งจิง และไม่กลัวแม้แต่เหล่าทวยเทพและภูตผีปีศาจ…
ฝ่ามือที่ชุ่มเหงื่อของเหลียงเว่ยผิงถูไปมาบนแขนเสื้อกว้าง เขายืดคอยาวมองลงไปตามบันไดหินอีกครั้ง
“เสมียนเหลียง! เสมียนเหลียง!”
ท่ามกลางสายฝนโปรยปรายที่เลือนรางมีร่างผอมบางร่างหนึ่งวิ่งมาแต่ไกล ชุดขุนนางที่เดิมทีมีสีเทาอ่อนของเขากลายเป็นสีเข้มสลับกับสีอ่อนเป็นจุดๆ เนื่องจากโดนน้ำฝน บริเวณหัวเข่ามีรอยเปื้อนน้ำโคลนสองวง ดูท่าทางอ่อนล้าและตื่นตระหนกยิ่ง
“เสมียนเหลียง!”
“ไปที่ใดมา”
หลินหวั่นชิงยังไม่ทันจะอ้าปากอธิบาย ไฟแห่งโทสะที่ระงับไว้ของเหลียงเว่ยผิงก็พ่นใส่หน้าเขาไม่ยั้ง
ดูเหมือนเขาจะคาดการณ์ไว้นานแล้วว่าจะต้องเจอกับสถานการณ์เช่นนี้จึงเอียงกายไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หลับตาแน่นและค่อยๆ ลืมตาขึ้น แล้วมองไปที่เหลียงเว่ยผิงอย่างเงียบๆ ทำท่าทางรู้สึกผิดเล็กน้อย
“ระหว่างทาง…ระหว่างทางเจอปัญหานิดหน่อย จึงล่าช้าไปเล็กน้อย”
เวลานี้เหลียงเว่ยผิงจึงสนใจที่จะมองดูหลินหวั่นชิง ใบหน้าเล็กๆ ที่เดิมทีก็ขาวซีดอยู่แล้วเปียกฝน ขนอ่อนตามผิวหนังถูกปกคลุมด้วยหยดน้ำเล็กๆ ทำให้ใบหน้าดูซีดเผือดกว่าเดิมเล็กน้อย ขนตาที่ทั้งยาวและงอนหนามีเม็ดฝนที่แวววาวสองหยดติดอยู่จะตกมิตกแหล่ ดวงตากลมโตสีดำเป็นประกายสดใสงดงามภายใต้ขนตาที่สั่นไหวเล็กๆ แสดงความรู้สึกเสียใจและรอยยิ้มขี้เล่น ทำให้คนเห็นแล้วก็หายโกรธเป็นปลิดทิ้งในทันใด อยู่มาจนอายุเกือบสามสิบปีนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นบุรุษที่มีรูปร่างหน้าตางดงามเช่นนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะลูกกระเดือกที่คอของหลินหวั่นชิง เหลียงเว่ยผิงก็อยากจะทดสอบด้วยตนเองจริงๆ ว่า…ความคิดของเขาพลันถูกขัดจังหวะและความโกรธที่เขาต้องการระบายก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
“เช็ดหน้าเสีย!” เหลียงเว่ยผิงหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมาจากเอวอย่างอารมณ์ไม่ดี ก่อนตบๆ ไปที่ใบหน้าของหลินหวั่นชิง
หลินหวั่นชิงรู้อยู่แก่ใจว่าตนเองผิด จึงไม่โกรธอีกฝ่าย เพียงรับผ้าเช็ดหน้ามาพร้อมกับยิ้มแต้ หยิบสมุดเล่มเล็กที่เปียกตรงมุมออกมาจากอกเสื้อแล้วเช็ดก่อน