สายตาของเหลียงเว่ยผิงหยุดอยู่ที่สมุดเล่มเล็กครู่หนึ่ง นั่นเป็นบันทึกการตัดสินคดีที่หลินหวั่นชิงรวบรวมและเรียบเรียงเอง ด้านในล้วนเป็นคดีที่ซูโม่อี้เสนาบดีศาลต้าหลี่เป็นคนจัดการทั้งหมด
หลังจากเช็ดสมุดเสร็จแล้วหลินหวั่นชิงจึงเช็ดใบหน้าตนเองลวกๆ สองครั้ง ก่อนจะก้มลงไปเช็ดน้ำโคลนที่หัวเข่า
“ถูกม้าหรือถูกรถม้าชนมาเล่า” เหลียงเว่ยผิงถอนสายตาออกจากตัวอีกฝ่ายพลางเอ่ยถามอย่างอารมณ์ไม่ดี
หลินหวั่นชิงก้มหน้า ตอบด้วยน้ำเสียงอู้อี้ว่า “ไม่ใช่ ข้าเห็นสุนัขสีขาวตัวเล็กตัวหนึ่งตกลงไปในท่อระบายน้ำแล้วปีนขึ้นมาไม่ได้ จึงช่วยดึงมันขึ้นมา”
“เจ้า! แค่กๆๆ…” เหลียงเว่ยผิงตกใจกับคำตอบนี้ เขาโกรธจนหายใจไม่ออก ราวกับความโกรธอุดอยู่ที่คอหอยจนไอออกมาไม่หยุด
เสียงเร่งเร้าของเด็กรับใช้ดังขึ้นทางด้านหลังของคนทั้งสองอีกครั้ง “เสมียนเหลียง ใต้เท้าซูใกล้จะถึงห้องหารือแล้วขอรับ”
เวลานี้เหลียงเว่ยผิงจึงสงบอารมณ์ลงได้ ตบหน้าอกสองสามครั้งแล้วดึงผ้าเช็ดหน้าที่หลินหวั่นชิงเช็ดจนเต็มไปด้วยดินโคลนคืนมา ก่อนจะส่งเสียงฮึ่มที่ไม่ดังไม่เบาและเอามือไพล่หลังเดินจากไป
หลินหวั่นชิงซึ่งรู้ตัวว่าตนเองผิดได้แต่กลั้นหัวเราะแล้วเดินตามไปอย่างว่าง่าย
“มีของกินหรือไม่” เขาเอียงกายไปถามที่ข้างหูของเหลียงเว่ยผิง
เหลียงเว่ยผิงตกตะลึงไปครู่หนึ่ง แล้วเอียงกายย้อนถามอีกฝ่าย “ขนมที่ให้เจ้านำกลับไปเมื่อวานเล่า”
หลินหวั่นชิงหดคอ พูดเสียงอู้อี้ “ให้สุนัขจรจัดตัวนั้นไปแล้ว”
“เจ้า! แค่กๆๆ…”
เมื่อเห็นว่าอาการของเหลียงเว่ยผิงกำลังจะกำเริบอีกครั้ง ครั้งนี้หลินหวั่นชิงเคลื่อนไหวอย่างว่องไว รีบก้าวเข้าไปพยุงเขาก่อนแล้วตบหลังเพื่อให้ลมปราณเดินสะดวก
“คนมีคุณธรรมช่วยใครต้องช่วยให้ถึงที่สุด ห้ามทอดทิ้งกลางคัน สุนัขตัวนี้ข้าช่วยชีวิตไว้แล้ว ย่อมทนดูมันหิวไม่ได้ ดังนั้นข้าก็เลย…”
“เจ้าแค่ชอบยุ่งเรื่องของผู้อื่น ไม่เพียงทำให้ชุดขุนนางสกปรก แต่ยังเกือบทำให้เสียงานอีกด้วย!”
เหลียงเว่ยผิงโกรธจนตัวสั่น ไม่ง่ายเลยกว่าจะกดเสียงต่ำแล้วพูดต่อ “เจ้าก็รู้ว่าคนที่มาวันนี้คือใต้เท้าซู เสนาบดีศาลต้าหลี่ หากเขาลงโทษเจ้าที่แต่งกายไม่เรียบร้อย ก่อกวนตุลาการ ไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ ดูหมิ่นผู้มีบารมี…”
“พอแล้วๆๆ” หลินหวั่นชิงล้อเล่นอย่างคุ้นเคย ก่อนตบหลังของเหลียงเว่ยผิงพร้อมกับยิ้มเอาใจแล้วพูดว่า “พี่เหลียงใจเย็นๆ น้องชายผิดไปแล้ว ผิดไปแล้วจริงๆ ต่อไปจะไม่ทำอีก แต่ว่า…”
หลินหวั่นชิงชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่องมาถามต่อว่า “แต่ว่ามีของกินหรือไม่”
“…” เหลียงเว่ยผิงมองอีกฝ่ายด้วยแววตาตักเตือนที่เฉียบขาด แล้วหยิบลูกอมบ๊ะจ่าง สองเม็ดออกมาจากอกเสื้อ “นี่เป็นลูกอมที่เจ้าให้ข้าไว้เมื่อวานนี้ รองท้องไปก่อนก็แล้วกัน”
“โอ้” หลินหวั่นชิงแย้มยิ้ม รีบรับมันมาและแกะเปลือกออกเม็ดหนึ่งก่อนจะโยนเข้าปากทันที
ที่มุมชายคาสีเทาอมเขียวมีเม็ดฝนหยดลงมา ดูราวกับม่านไข่มุกแวววาว
ทั้งสองเดินไปตามทางเดิน มาถึงห้องหารือด้านข้าง ขุนนางและเด็กรับใช้ต่างเข้าประจำที่แล้ว ท่าทางเข้มงวดเคร่งขรึมยิ่ง
เหลียงเว่ยผิงอดเข่าอ่อนไม่ได้ เขากลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว ยื่นมือไปดึงตัวหลินหวั่นชิงไว้แล้วพูดว่า “เจ้ารับหน้าที่จดบันทึกแล้วกัน หากใต้เท้าไม่ถามก็ห้ามพูดมากอย่างเด็ดขาด นี่ไม่เหมือนการหารือเรื่องรายละเอียดของคดีตามปกติของพวกเรา อย่าได้อวดความฉลาดของตนเองรู้หรือไม่”