หลินหวั่นชิงพยักหน้าโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย เห็นเช่นนี้เหลียงเว่ยผิงจึงหายใจสงบลง เขาตบหน้าอก หายใจเข้าลึกๆ แล้วก้าวข้ามธรณีประตู เดินชิดผนังห้องหารือไปนั่งลงที่โต๊ะเล็กด้านหลังที่นั่งของผู้มีอำนาจสูงสุด
การรับช่วงต่อและหารือเกี่ยวกับรายละเอียดของคดีไม่เหมือนการสอบสวนในศาล จึงไม่มีเครื่องลงทัณฑ์ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องเบิกตัวผู้ต้องสงสัยและพยาน
หลินหวั่นชิงปูกระดาษเซวียนจื่อ ลงบนโต๊ะด้วยความชำนาญ และหยิบพู่กันมาจุ่มลงในหมึก
เสียงฝีเท้าช้าๆ แต่หนักแน่นที่ดังมาจากด้านหลังห้องหารือใกล้เข้ามาทุกที ตามมาด้วยเสียงเสียดสีกันเบาๆ ของผ้าไหม และมีเสียงหยกกระทบกันเป็นครั้งคราว
ด้านหลังฉากกั้นงานปักซู ที่ปักลายต้นสนมีร่างสองร่างปรากฏขึ้น ร่างหนึ่งสวมชุดสีแดงร่างหนึ่งสวมชุดสีม่วงกำลังเดินเข้ามา
หลินหวั่นชิงมองร่างที่อยู่ด้านหลังฉากกั้นด้วยหัวใจที่เต้นแรง ชื่อของซูโม่อี้เสนาบดีศาลต้าหลี่นั้นเขารู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง
ตั้งแต่โบราณมาผู้ที่มีความรู้ความสามารถล้วนเป็นคนหนุ่ม ใต้เท้าซูผู้นี้มีชื่อเสียงตั้งแต่ยังเป็นหนุ่ม และเขียนบทความได้ดีเยี่ยม เดิมทีฮ่องเต้ซึ่งเป็นน้าของเขาต้องการมอบตำแหน่งที่สบายๆ ให้กับเขา แต่ไม่คาดคิดว่าเขากลับหลงใหลในการพิพากษา ตั้งแต่สอบได้จ้วงหยวน เมื่ออายุสิบหกปีเป็นต้นมาก็เดินเส้นทางขุนนางในศาลต้าหลี่ เริ่มตั้งแต่ตำแหน่งขุนนางผู้ช่วยศาลต้าหลี่ จนกระทั่งเป็นเสนาบดีศาลต้าหลี่ เนื่องจากมีภูมิหลังที่มั่นคง มีฮ่องเต้หนุนหลัง ในการทำงานและสอบสวนคดีจึงไม่ต้องมองหน้าใคร ทำให้สร้างผลงานได้มากมาย เลื่อนขั้นมาถึงตำแหน่งนี้ได้ไม่ใช่เพราะพึ่งร่มเงาของราชวงศ์ทั้งหมดหรอกหรือ แต่อาจเป็นเพราะเหตุนี้ความเด็ดขาดในการทำงานและวิธีการที่โหดเหี้ยมอำมหิตของซูโม่อี้ จึงทำให้เขามีชื่อเสียงว่า ‘ไม่กลัวแม้แต่เหล่าทวยเทพและภูตผีปีศาจ ขุนนางผู้โหดเหี้ยมอันดับหนึ่ง’ ในแวดวงขุนนางของราชวงศ์ใต้ทั้งหมดว่ากันว่านักโทษประหารในมือเขา ขณะที่ถูกลงโทษประหารมักถูกลงโทษอย่างทารุณมาก่อนแล้ว ถึงกระทั่งมีคนยอมรับโทษแต่ขอโทษตายอย่างเดียวเพื่อหลีกเลี่ยงความทุกข์ทรมานตอนมีชีวิตอยู่
หลินหวั่นชิงกำลังคิดใคร่ครวญอยู่ผู้เดียว ร่างทั้งสองนั้นก็เดินอ้อมฉากกั้นมา ผู้ที่เดินนำหน้าจะต้องเป็นซูโม่อี้เสนาบดีศาลต้าหลี่ลำดับรองขั้นสามอย่างแน่นอน มือที่จับพู่กันของหลินหวั่นชิงแกว่งไปมาโดยไม่ได้ตั้งใจ หัวใจของหลินหวั่นชิงเต้นเร็วราวกับกำลังถูกผีหลอกพลางกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
สิ่งที่เห็นคือใบหน้าที่สดใสและสง่างาม บางทีชุดขุนนางสีม่วงชุดนั้นอาจมีส่วนช่วยเสริมบารมีให้เขาเล็กน้อย ส่วนเข็มขัดทองคำและหยกสิบสามชิ้นที่คาดอยู่ที่เอวก็ช่วยขับให้เขาดูไหล่กว้างเอวเล็ก รูปร่างสูงชะลูด
หลินหวั่นชิงมองจนลืมหายใจไปจังหวะหนึ่ง
มองสูงขึ้นไปเป็นโครงหน้าราวแกะสลัก เบ้าตาลึก จมูกโด่ง ริมฝีปากที่บางซีดนั้นมีความเยือกเย็นเล็กน้อย ดวงตาดำขลับคู่นั้นราวกับเหวลึกที่มองไม่เห็นก้นบึ้ง หากเผลอไผลเพียงเล็กน้อยก็จะตกลงไป และร่างก็จะต้องแหลกสลายอย่างแน่นอน รูปโฉมเช่นนี้…ดูเหมือนจะไม่เข้ากันกับชื่อเสียงอันโหดร้ายที่ภายนอกเล่าลือกันแม้แต่น้อย
หยดหมึกจากปลายพู่กันหยดลงบนกระดาษเซวียนจื่อที่กางออก ทิ้งจุดน้ำหมึกที่ซึมแผ่ไปเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว
หลินหวั่นชิงก้มหน้า หลบสายตาจากด้านบนได้พอดี จึงไม่ทันสังเกตเห็นว่าคิ้วที่ชี้ขึ้นคู่นั้นขมวดเล็กน้อยอย่างยากที่จะสังเกตเห็น
“ใต้เท้าซู” เจ้าเมืองหลี่ที่นั่งในตำแหน่งต่ำกว่าซูโม่อี้เปิดปากพูด “การบรรยายรายละเอียดของคดีนี้…”
“เริ่มได้เลย” ชายที่อยู่ด้านบนถอนสายตา ในน้ำเสียงนั้นไม่สามารถตัดสินความรู้สึกได้เลย
เจ้าเมืองหลี่ยิ้มประจบสอพลอ รับสำนวนความที่เหลียงเว่ยผิงยื่นให้ แล้วเริ่มบรรยายรายละเอียดของคดีเสียงดัง
นั่นเป็นคดีฆ่าข่มขืนหลายคดีที่เกิดขึ้นเมื่อปีก่อน เหยื่อเป็นภรรยาลับที่ขุนนางหรือพ่อค้าเลี้ยงไว้นอกจวน ล้วนเป็นหญิงสาวเยาว์วัยอายุประมาณยี่สิบปี เนื่องจากเป็นภรรยาลับ ดังนั้นพวกขุนนางหรือพ่อค้าที่เลี้ยงดูพวกนางจึงไม่ได้มาหาบ่อยๆ แม้ธรรมเนียมในราชวงศ์ใต้จะเปิดกว้าง แต่ถึงอย่างไรฐานะของภรรยาลับก็ต่ำต้อยเหมือนบ่าวรับใช้ผู้หนึ่ง ดังนั้นคนที่คอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายจึงมีไม่มาก มักมีเพียงสาวใช้หรือหญิงรับใช้สูงอายุคนสนิทหนึ่งหรือสองคนเท่านั้น นี่จึงเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ก่อคดี ศพของเหยื่อทั้งหมดถูกพบในห้องนอนของพวกนางโดยอยู่ในท่านอนหงาย เปลือยกาย มีผ้าปิดตา มือและเท้าถูกมัด จากการตรวจสอบบาดแผลแสดงให้เห็นว่าบาดแผลที่ทำให้ถึงแก่ชีวิตคือบาดแผลจากของมีคมบริเวณหน้าอก ทว่าสิ่งที่ทำให้ทุกคนรู้สึกขนลุกขนพองก็คือศพของสตรีเหล่านี้ไม่เพียงมีร่องรอยการถูกทรมานที่หน้าอกเท่านั้น แต่ที่ร่างกายท่อนล่างยังมีบาดแผลถูกแทงด้วยมีดที่แหลมคมหลายครั้ง