หลินหวั่นชิงเริ่มท้องไส้ปั่นป่วนเหมือนน้ำที่ใกล้เดือดอีกแล้ว ครานี้เดือดปุดๆ จนทำให้มือที่จับพู่กันของเขาก็เริ่มสั่นเช่นกัน ทว่าแขนเสื้อของเขากลับถูกเหลียงเว่ยผิงดึงไว้อีกครั้ง
ครั้งนี้เหลียงเว่ยผิงแทบจะมองหลินหวั่นชิงด้วยสายตาวิงวอน บนใบหน้าเขียนคำว่า ‘อย่ายุ่งเรื่องคนอื่น’ ห้าคำ
“…” หลินหวั่นชิงก้มหน้า สูดลมหายใจลึก ลดความร้อนของน้ำในท้องลงไปหลายองศา
เสียงพูดฉอดๆ ของเจ้าเมืองหลี่ดังขึ้นที่ข้างหู เสียงของเขาเหมือนระฆังใบใหญ่ที่ถูกคนตีเคาะไม่หยุดหย่อน ฟังแล้วชวนให้รำคาญยิ่ง เขาพูดต่อไปอย่างโกรธเคืองว่า “คนเลวที่น่ารังเกียจ เห็นสาวงามแล้วก็ละเลยความผิดชอบชั่วดี แม้แต่สตรีที่กำลังป่วยก็ไม่เว้น ถือโอกาสยามค่ำคืนปกปิดใบหน้าก่อเหตุฆาตกรรมโดยไม่คำนึงถึงว่าเขาเป็นองครักษ์คุ้มกันส่วนพระองค์ กินเบี้ยรายเดือนของราชสำนัก”
หลังจากพูดจบก็ตบโต๊ะสองครั้ง ตบเสียจนโต๊ะที่อยู่ข้างกายเสียงดังปัง
ซูโม่อี้ไม่พูดอะไร เขาเอนกายไปข้างหลังอย่างเงียบๆ มุมปากปรากฏรอยยิ้มที่ยากจะคาดเดา เหมือนกับสายฝนที่ตกชุกนอกระเบียงซึ่งมากับความเย็นสบาย
“ใต้เท้าหลี่หมายความว่าคดีนี้สามารถมอบให้กรมอาญาเป็นผู้เห็นชอบก็ถือว่าสิ้นสุดแล้ว?”
“เอ่อ…” เจ้าเมืองหลี่อึกอักอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดประจบสอพลอว่า “นักโทษคดีนี้ได้ประทับลายนิ้วมือยอมรับแล้ว ย่อมไม่กล้ารบกวนใต้เท้าซูสอบสวนอีก ข้าน้อยวางแผนว่าวันนี้จะนำสำนวนความส่งไปที่กรมอาญา ให้พวกคนแก่ที่กินเบี้ยรายเดือนของฮ่องเต้ช่วยแบ่งเบาความทุกข์ให้พระองค์”
บรรยากาศนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ไม่มีใครกล้าพูดอะไรมากความก่อนที่ซูโม่อี้จะพูด
รอยยิ้มบนใบหน้าของเจ้าเมืองหลี่พลันแข็งทื่อ ราวกับเวลาต่อมาก็จะปริออกกระนั้น จนกระทั่งเสียงเคาะดังกังวานขึ้นสองสามครั้งทำลายภาวะชะงักงันนั้น
ซูโม่อี้ถอนสายตาที่คมกริบ ข้อนิ้วมือเคาะที่เท้าแขนเก้าอี้ไท่ซือที่อยู่ข้างตัว ส่งเสียงกลัดกลุ้มออกมาจนทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย
ในใจของหลินหวั่นชิงมีความคาดหวังบางอย่างแบบพูดไม่ออกบอกไม่ถูก แต่ทุกคนที่เคยอ่านสำนวนความหลายคดีก่อนหน้านี้ไม่มีใครไม่สังเกตเห็นข้อสงสัยนี้ วิธีการโง่งมของเจ้าเมืองหลี่เป็นการทำให้ซูโม่อี้กลายเป็นคนที่บรรดาลูกผู้ดีมีเงินที่มีแต่ชื่อเสียงแต่ไร้ความสามารถในราชสำนักเหล่านั้นไล่ออกอย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าซูโม่อี้มีความสามารถอย่างแท้จริงก็จะไม่มีทางถูกเขาหลอกลวงอย่างเด็ดขาด
ทว่าเวลาต่อมาน้ำเสียงไม่แยแสของซูโม่อี้กลับทำให้ความคิดของหลินหวั่นชิงแตกกระเจิง สีหน้าของเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแค่คลึงนิ้วโป้งและนิ้วชี้ด้วยความเบื่อหน่าย
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็รบกวนใต้เท้าหลี่แจ้งกรมอาญาด้วย”
หลินหวั่นชิงแทบจะสำลัก เขาเงยหน้าขึ้นมองซูโม่อี้อย่างไม่อยากจะเชื่อ แต่กลับเห็นอีกฝ่ายมองเจ้าเมืองหลี่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ที่ปากมีรอยยิ้มหยอกเย้ารำไร ก่อนจะลุกขึ้นยืนตรง สะบัดแขนเสื้อกว้าง และหันตัวเดินไปทางด้านหลังฉากกั้น
หลินหวั่นชิงงุนงงเป็นอย่างยิ่ง เขารู้สึกแน่นหน้าอก เหมือนอวัยวะภายในมากองรวมกัน ความรู้สึกปั่นป่วนกลับมาอีกแล้ว อีกทั้งยังพุ่งไปที่ลำคอของเขาไม่หยุด เขาพยายามอดกลั้นจนเกือบจะหายใจไม่ออก พู่กันในมือก็ไม่รู้ตกไปอยู่ที่ใด เขารู้สึกเพียงว่ามือและเท้าต่างไม่เชื่อฟังคำสั่งตนเอง
ขณะที่กำลังอยู่ในอาการวิงเวียนนี้หลินหวั่นชิงพลันได้ยินเสียงอันสั่นระรัวราวกับถูกบีบออกมาจากลำคอของตนเองดังขึ้นว่า “หวังหู่ไม่ใช่ฆาตกร”
คำพูดประโยคเดียวส่งผลสะท้อนอย่างรุนแรง หลินหวั่นชิงสะอึกด้วยความตกใจแล้วรีบปิดปากตนเอง
คำพูดที่พูดออกไปก็เหมือนกับน้ำที่สาดออกไปแล้วยากที่จะเก็บคืนมา ยิ่งไปกว่านั้นทุกคนต่างได้ยินกันหมดแล้ว หลินหวั่นชิงหันไปมองเหลียงเว่ยผิงโดยไม่รู้ตัว แล้วก็เห็นอีกฝ่ายมีท่าทางเจ็บใจอย่างที่สุด
ด้านสีหน้าของเจ้าเมืองหลี่ที่อยู่ข้างๆ นั้นเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกตกใจ ทั้งไม่อยากจะเชื่อและมีความกระสับกระส่ายเล็กน้อยอย่างยากที่จะสังเกตเห็น
“เจ้าพูดอะไร” หางตาของเจ้าเมืองหลี่กระตุก สีหน้าจากไม่เป็นธรรมชาติเปลี่ยนเป็นไม่เป็นธรรมชาติอย่างมาก
หลินหวั่นชิงไม่กล้าตอบในทันที เขาใช้สายตามองข้ามตัวอีกฝ่ายชำเลืองไปที่ซูโม่อี้
คนผู้นั้นเพียงหยุดชะงักเท้าเล็กน้อย สีหน้ายังคงเรียบเฉย มองความประหลาดใจที่พอเหมาะพอดีในแววตาเขาโดยไม่ได้พูดอะไร
บรรยากาศนิ่งเงียบอย่างผิดปกติ
หลินหวั่นชิงซึ่งขี่หลังเสือแล้วลงยากพูดด้วยความนอบน้อมว่า “หวังหู่ไม่ใช่ฆาตกร…”
“พูดจาเหลวไหล!” เขายังพูดไม่ทันจบน้ำเสียงตกใจและเคียดแค้นของเจ้าเมืองหลี่ก็ดังขึ้น
เขาสะบัดแขนเสื้อกว้าง เนื้อบนใบหน้าเต้น ถลึงตาแล้วพูดด้วยความโกรธเคือง “คดีนี้ผู้ต้องหาและของที่ใช้ในการก่อเหตุต่างถูกจับได้แล้ว แรงจูงใจในการก่อคดีของฆาตกรชัดเจน วิธีการในการก่อคดีชัดเจน อีกทั้งได้ยอมรับโทษเองแล้ว ใครอนุญาตให้เจ้าหน้าที่จดบันทึกตัวเล็กๆ เช่นเจ้าปากมากพูดจาเหลวไหล!”