บทที่ 2 ความสงสัย+คลื่นใต้น้ำ
เจ้าเมืองหลี่ตามซูโม่อี้ออกไปแล้ว หลินหวั่นชิงเห็นเงาของเขาวิ่งอยู่ไกลๆ รู้สึกว่าชุดทางการสีแดงเข้มและเข็มขัดหยกประดับทองคำรอบเอวรัดเขาจนเหมือนไส้กรอกมันแผล็บสองท่อน
จู่ๆ หลินหวั่นชิงก็รู้สึกเลี่ยนจนอยากจะอาเจียนจึงหันหน้าหนี แต่กลับเผชิญกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความจนใจของเหลียงเว่ยผิง
“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการจะพูดอะไร” หลินหวั่นชิงก้มหน้ายิ้มกับตนเองแล้วแกว่งมือไปมา “แต่ตอนนี้ข้าไม่อยากฟัง”
เหลียงเว่ยผิงแสดงสีหน้าจนใจ เขาหยิบลูกอมบ๊ะจ่างเม็ดหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อส่งให้หลินหวั่นชิง “เวลานี้ควรกินอาหารกลางวันแล้ว ข้าจะเลี้ยงสุราเจ้าแล้วกัน”
ฝนนอกระเบียงยังคงไม่มีแนวโน้มจะหยุด เหลียงเว่ยผิงนำร่มมาสองคัน แล้วทั้งสองก็ออกจากที่ว่าการเมืองหลวงไปยังหอสุราชั้นเลิศร้านหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในตลาดตะวันตกที่คึกคัก วันนี้ไม่ใช่วันหยุด ดังนั้นหอสุราที่ทำการค้ากับขุนนางชั้นสูงโดยเฉพาะจึงไม่คึกคักมากนัก
เนื่องจากเหลียงเว่ยผิงเคยช่วยเจ้าของหอสุราคลี่คลายคดีการถูกพิษในอาหารภายใต้คำชี้แนะของหลินหวั่นชิง ใบหน้าของเขาจึงกลายเป็น ‘ใบผ่านทาง’ ของสถานที่แห่งนี้ ไม่ว่ามาเมื่อไรก็จะมีห้องส่วนตัวดีๆ ว่างรออยู่เสมอ และเพียบพร้อมด้วยสุราชั้นดีที่เก็บรักษาไว้ หลินหวั่นชิงก็พลอยอาศัยบารมีนี้มาหลายครั้งแล้ว
ทั้งสองคนเก็บร่มแล้วเดินตามเสี่ยวเอ้อร์ของร้านไปที่ห้องส่วนตัวบนชั้นสอง
หลินหวั่นชิงยังคงใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ท่าทางเหม่อลอย รินชาให้ตนเองหนึ่งถ้วย จากนั้นก็เปิดหน้าต่างไม้แดงที่แกะสลักลวดลาย แล้วเอนตัวพิงข้างหน้าต่างมองดูสายฝน
จากนั้นเหลียงเว่ยผิงจึงบ่นด้วยความหวังดีว่า “เจ้าน่ะดีทุกอย่าง มีแต่นิสัยตรงไปตรงมาไม่ฟังคำเตือนนี่ล่ะ ไม่ใช่เจ้าไม่รู้ว่าเจ้าเมืองหลี่เป็นคนเช่นไร วันนี้อยู่ต่อหน้าใต้เท้าซู เจ้าฉีกหน้าเขาต่อหน้าทุกคน เขาปลดเจ้าออกจากตำแหน่งก็นับว่าลงโทษสถานเบาแล้ว ตามความเห็นของข้า วันนี้เขาตัดสินว่าเจ้าดูหมิ่นศาลถึงจะเป็นท่าทีที่ถูกต้องของเขา”
สายตาของหลินหวั่นชิงถูกดึงดูดด้วยสายฝนด้านนอกหน้าต่าง เขาจิบชาตามสบายโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ศาลต้าหลี่ สถานที่ที่หลินหวั่นชิงอยากไปแม้กระทั่งในความฝัน
เดิมทีคิดว่าจะอาศัยคดีนี้สามารถทำให้ศาลต้าหลี่ยืมตัวไปได้ แต่ไม่เคยคิดเลยว่าจะเกิดเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ขึ้นระหว่างทาง
คราวนี้แย่แล้ว ไม่เพียงเขาไม่ได้ไปศาลต้าหลี่ แต่ยังถูกที่ว่าการเมืองหลวงสั่งพักงานอีกด้วย แม้แต่โอกาสจะเข้าใกล้ก็ยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ
ทันทีที่เกิดอารมณ์หงุดหงิด แม้แต่การหายใจเงียบๆ ก็ยังเต็มไปด้วยความวิตกกังวล
มือของหลินหวั่นชิงกำถ้วยไว้แน่น จู่ๆ ก็ถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า “พี่เหลียงรู้จักใต้เท้าซูเสนาบดีศาลต้าหลี่หรือไม่”
เหลียงเว่ยผิงเอียงศีรษะ ถ้วยน้ำชาในมือกระตุก ก่อนย้อนถามอีกฝ่ายว่า “ในเมืองเซิ่งจิง ตั้งแต่คนในราชวงศ์ไปจนถึงขอทานมีใครไม่รู้จักใต้เท้าซูบ้าง”
“ข้าหมายถึง…” หลินหวั่นชิงใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง จึงเลือกคำที่นุ่มนวลที่สุด “ภูมิหลัง”
“เอ่อ…” เหลียงเว่ยผิงชะงักไปโดยไม่รู้ตัว ขมวดคิ้วแล้วกล่าว “ข้าเพียงได้ยินมาว่าเขาเป็นหลานชายของฮ่องเต้ ทั้งบิดาและมารดาของเขาเสียชีวิตตั้งแต่เขายังเด็ก ดังนั้นไทเฮาจึงทรงเลี้ยงดูเขามาจนเติบใหญ่ด้วยพระองค์เอง เจ้าอย่าเห็นว่าเขาเป็นเพียงซื่อจื่อ ฐานะของเขาในราชสำนักไม่ด้อยไปกว่าบรรดาชินอ๋อง เหล่านั้นเลย”