“หา?!” น้ำชาในถ้วยสั่นไหว หลินหวั่นชิงเกิดความสนใจขึ้นมาทันที รีบซักถาม “มารดาผู้ให้กำเนิดของใต้เท้าซูท่านนี้เป็นองค์หญิงพระองค์ใดหรือ”
เหลียงเว่ยผิงขมวดคิ้วและส่งเสียงจิ๊ “นี่ใช่เรื่องที่ขุนขางเล็กๆ ขั้นเจ็ดอย่างข้าจำเป็นต้องรู้ที่ใดกัน ข้ามาเมืองเซิ่งจิงก่อนเจ้าเพียงสองปี ตื่นเช้านอนดึกทุกวันสำนวนความก็เขียนไม่หมดแล้ว เรื่องราวครอบครัวของคนใหญ่คนโตเพียงนี้ข้าจะมีใจไปสนใจถามไถ่ที่ใดกัน”
“อ้อ…” น้ำเสียงของหลินหวั่นชิงเบาลง และความปรารถนาที่จะอวดฉลาดก็เท่ากับคว้าน้ำเหลว สวรรค์ไม่มีตาจริงๆ ความเป็นความตาย เกียรติยศ และความเสื่อมเสียของชาวบ้าน ถึงอย่างไรก็สู้ความคิดของขุนนางชั้นสูงไม่ได้ เมื่อนึกถึงที่เขาต้องตกระกำลำบากเป็นเวลาสิบปีเพื่อที่จะไปศาลต้าหลี่ ต้องละทิ้งตำแหน่งอาลักษณ์ของสำนักหอพระสมุด ยอมไปเป็นเจ้าหน้าที่จดบันทึกเล็กๆ ขั้นเก้าที่ที่ว่าการเมืองหลวงก่อน ตั้งตารอคอยโอกาสนี้ แต่…
หลินหวั่นชิงยิ่งคิดก็ยิ่งคับข้องใจ ยิ่งคับข้องใจก็ยิ่งโกรธ ดังนั้นเมื่อคำว่า ‘ซูโม่อี้ขุนนางอำมหิต’ ระเบิดออกมา ถ้วยในมือของเหลียงเว่ยผิงก็สั่นสะท้านด้วยความตกใจ น้ำชาร้อนๆ กระเซ็นออกมาจนแขนเสื้อกว้างของเขาเปียกชื้น
“เจ้า!” ท่าทีตอบสนองของเหลียงเว่ยผิงรวดเร็วอย่างประหลาด ก่อนที่หลินหวั่นชิงจะด่าสาดเสียเทเสียออกมาเป็นประโยคที่สองอีกฝ่ายก็รีบกระโดดไปข้างหลังของเขาก่อน มือหนึ่งล็อกคอเอาไว้ มืออีกข้างหนึ่งปิดปาก อุดคำพูดของเขาลงไปในคอด้วยความว่องไว “เจ้าอยากตายหรือ”
หลินหวั่นชิงถลึงตามองอีกฝ่ายกลับด้วยความโกรธแค้น ปากก็ส่งเสียงสะอื้นคัดค้าน
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าการด่าทอขุนนางราชสำนักบนท้องถนนจะได้รับโทษอะไร ปกติเจ้าด่าเจ้าเมืองหลี่ที่ไร้ความสามารถลับหลังกับข้าก็แล้วไปเถอะ แต่กับใต้เท้าซูเจ้ายังกล้าที่จะไม่ให้ความเคารพเช่นนี้ ข้าคิดว่าเจ้า…โอ๊ย!”
เหลียงเว่ยผิงพยายามผลักหลินหวั่นชิงออก แล้วมองดูรอยฟันบนมือของตนเองอย่างไม่อยากจะเชื่อ จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าขาวเล็กๆ ที่โกรธเคืองตรงหน้า พร้อมกับถลึงตากลมโตพูดว่า “เจ้ากัดข้า?! เจ้ากล้ากัดข้าหรือ ยังเห็นข้าเป็นพี่ชายร่วมสาบานของเจ้าอยู่หรือไม่!”
หลินหวั่นชิงไม่มีท่าทีอ่อนลงเลย เขาเดินอ้อมโต๊ะหลบการโจมตีของเหลียงเว่ยผิง วิ่งไปพร้อมกับพูดย้อนว่า “ถ้าเช่นนั้นน้องชายขอถามพี่เหลียง ตอนที่สาบานเป็นพี่น้องกับน้องชาย ได้เคยกล่าวคำสาบานว่าจะไม่กลัวผู้มีอำนาจ จะร้องเรียนแทนชาวบ้านที่ถูกใส่ความใช่หรือไม่ เหตุใดเจ้าเมืองหลี่ที่ไม่มีภูมิหลังไร้ความสามารถจึงกล้ารังแก ส่วนซูโม่อี้ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจกลับกลัวจนหัวหดเป็นเต่า ความหยิ่งในศักดิ์ศรีของพี่เหลียงในฐานะปัญญาชนเล่า ความมุ่งมั่นที่จะอุทิศตนเป็นผู้พิพากษาเล่า”
“เจ้า!” เหลียงเว่ยผิงถูกถามจนพูดไม่ออก ได้แต่ไล่ตามหลินหวั่นชิงไปรอบๆ โต๊ะ เสียงฝีเท้าผสมกับเสียงตั้งกระทู้ถามของคนทั้งสองกลบความเงียบสงบในห้องเล็กๆ เมื่อครู่ไปพักหนึ่ง จนกระทั่งมีเสียงเคาะประตูอย่างไม่เร่งรีบดังขึ้น
“นั่นใคร!” ทั้งสองต่างกำลังโกรธ จึงถามขึ้นพร้อมกันด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
เสียงเคาะประตูหยุดลงทันที คนที่อยู่ด้านนอกก็เงียบงันไม่พูดไม่จา
ทั้งสองหยุดไล่ตามกันด้วยความประหลาดใจ เวลานี้จึงมีน้ำเสียงหนักแน่นดังมาจากนอกประตู ไม่รีบร้อน ไม่ห่างเหินมากนัก
“ใต้เท้าซู เสนาบดีศาลต้าหลี่เชิญทั้งสองท่านไปสนทนาที่ห้องส่วนตัวที่อยู่ข้างกันนี้”
เหลียงเว่ยผิงอึ้งงัน “…”
หลินหวั่นชิงอึ้งงันยิ่งกว่า “…”
สุภาษิตกล่าวไว้ คนโชคร้าย แม้แต่ดื่มน้ำเย็นยังติดฟัน หลินหวั่นชิงเห็นด้วยอย่างยิ่ง อย่างเช่นเวลานี้ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คาดไม่ถึงว่าใต้เท้าซูซึ่งเป็นถึงเชื้อพระวงศ์จะมีความชื่นชอบเช่นนี้จริงๆ หลังออกมาจากที่ว่าการเมืองหลวงก็มุ่งตรงมาที่หอสุราแห่งนี้ทันที ทว่าสิ่งที่เขาคาดไม่ถึงยิ่งกว่าก็คือหอสุราว่างเช่นนี้ ห้องส่วนตัวก็มีมากมาย แต่ซูโม่อี้ยังจองห้องที่อยู่ติดกับเขา แม้ว่ากันว่ากำแพงมีหูประตูมีช่อง แต่ตนเองตะโกนด่าไปเพียงไม่กี่ประโยคคนที่อยู่ห้องอื่นกลับได้ยิน ดูเหมือนว่าการตกแต่งของหอสุราแห่งนี้ใช้ไม่ได้…ใช้ไม่ได้จริงๆ
กลิ่นน้ำชาอบอวลไปทั่วทั้งห้อง ตะเกียงน้ำมันหลายดวงส่องแสงเจิดจ้า ประตูและหน้าต่างของห้องส่วนตัวถูกปิดทั้งหมด ลมและฝนด้านนอกไม่สามารถลอดผ่านเข้ามาได้
หลินหวั่นชิงรู้สึกหายใจไม่ออกเล็กน้อย
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะห้องที่ปิดแน่น และอีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะในห้องนี้นอกจากเหลียงเว่ยผิงแล้วก็เป็นกลุ่มองครักษ์ที่พกมีด