คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่
ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 2
ไม่ได้รอให้เยี่ยชิงถามจนจบ ซูโม่อี้ก็ยิ้มแล้วทำเสียงฮึ่ม แล้วโยนของบางอย่างลงบนโต๊ะในรถม้า พูดเสียงทุ้มว่า “น่าเสียดายที่เขาเชี่ยวชาญในการไขคดีเพียงอย่างเดียว แต่ไม่เชี่ยวชาญเรื่องแวดวงขุนนาง นิสัยปากสว่างเช่นนี้อยู่ในศาลต้าหลี่ไม่ใช่เรื่องดีแน่”
เยี่ยชิงกลับไม่ได้คิดถึงเรื่องเหล่านี้เลย เขาถามขึ้นอีกครั้งว่า “แล้วใต้เท้าคิดจะทำอย่างไรต่อไป”
ซูโม่อี้เงียบงันไปครู่หนึ่ง สายตามองไปที่สำนวนความม้วนหนึ่งบนโต๊ะเล็ก ก่อนที่แววตาจะเป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อย เขาวางนิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือลงบนเข่าคลึงไปมาพร้อมพูดเบาๆ “รอไปก่อน ผ่านความลำบากอีกสักหน่อยก็จะเข้าใจเอง”
“แต่สองคดีนั้นใต้เท้าไม่สนใจจริงๆ หรือขอรับ” บางทีอาจเป็นเพราะกลัวจะถูกตำหนิ เยี่ยชิงจึงถามอย่างระมัดระวัง
ซูโม่อี้คร้านที่จะพูดกับเยี่ยชิงมากเกินไป จึงพูดด้วยท่าทีแปลกๆ ว่า “เจ้ารู้จักข้าเป็นวันแรก? ขณะที่ฮ่องเต้ทรงกำลังจะปรับปรุงกฎหมายของราชสำนัก แต่คนที่ถูกวางไว้ในจวนของราชเลขาซ่งก็หายตัวกันไปหมด คดีของหวังหู่ซับซ้อนเพียงใด เจ้าหน้าที่จดบันทึกเล็กๆ อย่างเขาไม่รู้ได้ แต่เจ้าจะไม่รู้เชียวหรือ”
เยี่ยชิงถูกซูโม่อี้ตำหนิอย่างไม่มีสาเหตุจึงพูดอย่างไม่เต็มใจ “หากใต้เท้าปล่อยไปไม่สนใจ เมื่อไปถึงกรมอาญาจะมีทางหนีทีไล่ได้อย่างไรขอรับ”
ซูโม่อี้ยิ้มเยาะ ข้อนิ้วชี้เคาะโต๊ะตัวเตี้ยในรถม้าจนส่งเสียงเบาดังต่อเนื่องพลางครุ่นคิด ก่อนที่ซ่งเจิ้งสิงจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นราชเลขาธิการ ซ่งเจิ้งสิงเคยเป็นเสนาบดีกรมอาญามาก่อน เมื่อคดีไปถึงกรมอาญา สำหรับเบื้องล่างซูโม่อี้สามารถขุดหาพรรคพวกที่ซ่งเจิ้งสิงทิ้งไว้ได้ สำหรับเบื้องบนก็จะคอยดูว่าคนที่อยู่เบื้องหลังคนผู้นี้เป็นสัตว์ประหลาดหรือภูตผีปีศาจชนิดใดกัน ต้องรู้ว่าคดีที่ฮ่องเต้จับตาดูอยู่ไม่ใช่เพียงราชเลขาธิการธรรมดาๆ ก็จะสามารถรับผิดชอบควบคุมได้
แต่ความคดเคี้ยวและกลอุบายในราชสำนักเหล่านี้ซูโม่อี้คร้านที่จะบอกเยี่ยชิงจริงๆ จึงพูดอย่างเย็นชาประโยคหนึ่งว่า “เจ้าเป็นองครักษ์คนสนิทของข้า ไม่ใช่รองเสนาบดีศาลต้าหลี่”
“…” เยี่ยชิงคับแค้นใจจนพูดไม่ออก คิดในใจว่าโรคปากร้ายของผู้เป็นนายคงจะกำเริบอีกแล้ว จึงทำได้เพียงก้มหน้า หุบปาก และบังคับรถม้าต่อไปอย่างเงียบๆ
หลังจากเดินทางไปได้ไม่กี่ช่วงถนนรถม้าก็มาจอดที่หน้าประตูศาลต้าหลี่ ซูโม่อี้จัดชุดขุนนางให้เข้าที่แล้วลงจากรถ ขณะที่กำลังสั่งให้คนนำสำนวนความไปไว้ในห้องหนังสือที่เขาใช้จัดการหนังสือราชการอยู่นั้น เสียงล้อรถเหยียบฝนดังกุกกักๆ ก็ดังมาจากระยะไกล
“ซื่อจื่อ” คนที่มาก็คือพ่อบ้านชราที่จวนของซูโม่อี้ เขายื่นจี้หยกชิ้นหนึ่งให้ซูโม่อี้แล้วพูดว่า “ซื่อจื่อลืมไปแล้วหรือว่าวันนี้เป็นวันอะไร”
ซูโม่อี้มองจี้หยกแล้วก็สะดุ้ง นึกขึ้นมาได้ทันใดว่าวันนี้เป็นวันพระราชสมภพของไทเฮา ดูเหมือนว่าระยะนี้งานยุ่งจริงๆ แม้แต่วันเช่นนี้ก็ยังลืมเสียได้ ไทเฮาเลี้ยงดูเขามาจนเติบใหญ่ เป็นเหมือนบิดามารดา หากรู้ว่าเขาจำไม่ได้แม้กระทั่งวันพระราชสมภพของตนเอง เกรงว่าคงจะเสียใจจริงๆ เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจเล็กน้อย หยิบจี้หยกจากในมือของพ่อบ้านแล้วมองไปทางด้านหลังของเขา ช่างเป็นผู้อาวุโสที่รู้ใจจริงๆ แม้แต่ของที่สวมใส่ในการเข้าวังก็นำมาด้วย
ซูโม่อี้จึงรู้สึกวางใจและเดินตามพ่อบ้านชราเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า พร้อมกับสั่งให้เยี่ยชิงไปนำหนังสือที่เหลืออยู่ชุดเดียวซึ่งรวบรวมไว้ในห้องหนังสือของเขามา
ไทเฮาชื่นชอบหนังสือ ตั้งแต่เมื่อครั้งที่ยังไม่ได้อภิเษกสมรสก็มีนิสัยเช่นสตรีทั่วไป โดยชื่นชอบนิทานพื้นเมืองตามร้านหนังสือทั่วไป ต่อมาเมื่อเข้าวังและเป็นที่โปรดปรานจึงต้องวางตนให้ภูมิฐานสง่างาม ต้องดูแลเอาใจใส่ราษฎร ความชื่นชอบในการอ่านนิทานพื้นเมืองซึ่งไม่เป็นที่เชิดหน้าชูตาจึงต้องละทิ้งไป แน่นอนว่าใต้เท้าซูผู้รอบรู้ทุกรายละเอียดเข้าใจเป็นอย่างดี
หลังจากซูโม่อี้จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็ใช้ปกหนังสือประวัติศาสตร์ห่อหนังสือนิทานพื้นเมือง จากนั้นก็เข้าวังก่อนที่งานเลี้ยงในพระราชวังจะเริ่มขึ้น
งานเลี้ยงวันพระราชสมภพของไทเฮาเป็นงานสำคัญ แต่ไทเฮาเป็นคนประหยัดมาโดยตลอด และครั้งนี้ก็ไม่ใช่วันพระราชสมภพรอบสิบปี จึงไม่ได้จัดงานเลี้ยงอย่างยิ่งใหญ่ เพียงจัดงานเลี้ยงขึ้นในพระราชอุทยานภายในพระราชวังเท่านั้น โดยพระราชวงศ์และข้าราชสำนักขั้นสามขึ้นไปสามารถนำครอบครัวมาร่วมงานได้
ตอนที่ซูโม่อี้ไปถึงยังเช้ามาก และหลังจากพบกับสหายร่วมงานและบรรดาญาติในตระกูลเดียวกันแล้ว สายตาของเขาก็จ้องมองไปที่ตำแหน่งของราชเลขาซ่ง ที่นั่งนั้นว่างเปล่า แม้จะสมเหตุสมผล แต่ในใจของซูโม่อี้ก็เกิดความรู้สึกหดหู่ใจอย่างไม่คาดคิด…
“จิ่งเช่อ”
ซูโม่อี้ชะงักฝีเท้าเล็กน้อย เมื่อหันตัวกลับไปก็ชนเข้ากับคนที่อยู่ข้างๆ ขณะที่เขากำลังจะแสดงการคารวะและขออภัยก็ถูกใครบางคนจับมือไว้ ท่าทีดูสนิทสนมมาก เขาสะดุ้งแล้วพูดว่า “เหลียงอ๋อง”
เมื่อเหลียงอ๋องเห็นเขาเคร่งครัดในมารยาทปานนี้ก็หัวเราะออกมา ก่อนปล่อยมือที่จับเขาไว้แล้วเอ่ย “พูดถึงลำดับชั้นญาติข้าเป็นตาของเจ้า ความเคยชินที่เอ่ยปากก็เรียกตำแหน่งเช่นนี้เกิดจากการถูกบังคับในแวดวงขุนนางสินะ”
ซูโม่อี้พยักหน้าแต่ไม่ได้ตอบ พูดถึงลำดับชั้นญาติเหลียงอ๋องเป็นอาของมารดาเขาจริงๆ แต่เนื่องด้วยความสัมพันธ์จากการแต่งงานระหว่างเหลียงอ๋องและครอบครัวของพระมารดาขององค์รัชทายาท ดังนั้นในราชสำนักทุกคนต่างรู้ดีว่าเป็น ‘ฝ่ายองค์รัชทายาท’ ซูโม่อี้ทำงานให้กับฮ่องเต้เท่านั้นและไม่ต้องการขัดแย้งกับกลุ่มอำนาจใดๆ ในราชสำนัก ดังนั้นในโอกาสเช่นนี้จึงแสดงท่าทีทำตามระเบียบปฏิบัติ
“เรื่องนั้นเจ้าก็รู้แล้วหรือ”
ซูโม่อี้เงยหน้าและเห็นว่าเหลียงอ๋องกำลังมองดูที่นั่งที่ว่างเปล่าของราชเลขาซ่ง
“วันนี้ได้รับคำสั่งให้ไปที่ที่ว่าการเมืองหลวงจึงได้รู้พ่ะย่ะค่ะ”
“ได้ยินมาว่าฆาตกรถูกจับในที่เกิดเหตุ?” เหลียงอ๋องสะบัดแขนเสื้อแล้วถามด้วยท่าทีสบายๆ