ทั้งสองเดินไปตามทางเดินเล็กๆ ในพระราชอุทยานไปยังที่นั่งของพระราชวงศ์ เดิมทีเป็นบรรยากาศที่ทางเดินเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้ แต่ซูโม่อี้เมื่อได้ยินดังนั้นกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงปกติ “ผู้ถูกจับกุมยังไม่ผ่านการตรวจสอบจากกรมอาญา เกรงว่ายังไม่สามารถนับเป็นฆาตกรได้พ่ะย่ะค่ะ”
เสียงหัวเราะเบิกบานดังขึ้น ผู้ที่เดินอยู่ด้านหน้าหยุดลงแล้วหันมามองเขา ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ “ใต้เท้าซูมีเหตุมีผล ทำงานตามระเบียบข้อบังคับ วันนี้นับว่าข้าได้ความรู้แล้ว”
เมื่อเห็นว่าซูโม่อี้ยังคงไม่แสดงสีหน้าอะไร เหลียงอ๋องจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที เอ่ยขึ้นอีกว่า “หวังหู่องครักษ์คุ้มกันส่วนพระองค์ผู้นั้น ข้าเคยได้ยินเรื่องของเขามาบ้าง”
“อ้อ” ซูโม่อี้รู้สึกเหนือความคาดหมายเล็กน้อย
“ก่อนหน้านี้เขามีชื่อเสียงฉาวกระฉ่อนในหมู่องครักษ์คุ้มกันส่วนพระองค์ ตามที่สหายร่วมงานของเขาพูดกัน เดิมทีหวังหู่เป็นคนที่ลุ่มหลงในสุรานารี แล้วยังเป็นแขกประจำของหอคณิกา ไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะทำตามอำเภอใจถึงเพียงนี้…” เหลียงอ๋องถอนหายใจแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแสดงความเสียดายเป็นอย่างยิ่ง “ตอนนี้เขาถูกจับแล้วและใช้ความตายเป็นการยอมรับผิด การได้รับโทษเช่นนี้ก็ถือว่าสมควรแล้ว”
ซูโม่อี้ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่เดินตามเหลียงอ๋องไปตามทางเดินอย่างเงียบๆ
แสงจันทร์ส่องสว่างเหนือยอดต้นหลิว สายลมยามค่ำพัดผ่านเรือน โคมไฟส่องแสงสลัวๆ ลงบนตัวของซูโม่อี้ ทำให้ดูสนิทสนมและเฉยชาในเวลาเดียวกัน ต้องบอกว่าเวลานี้ซูโม่อี้อายุยังน้อย แต่ยามต้องเผชิญหน้ากับชินอ๋องที่อายุมากกว่าตนเองมาก ความเยือกเย็นจากการเคร่งครัดในกฎหมายที่แสดงออกมาก็ทำให้เกิดความน่าเกรงขามตามธรรมชาติ เวลาที่เขาไม่พูดก็สามารถสร้างความกดดันที่มองไม่เห็นให้กับผู้คนได้แล้ว
เหลียงอ๋องเองก็เงียบตามไปด้วยเช่นกัน เดิมทีคิดจะเอ่ยปากกล่าวอะไรบางอย่างอีก แต่เสียงของขันทีที่ตะโกนอย่างสุดเสียงดังมาแต่ไกล ทุกคนในที่นั้นเมื่อได้ยินต่างพากันคุกเข่าลงเป็นแถว
งานเลี้ยงเริ่มต้นขึ้น หลังจากขุนนางทั้งหมดถวายบังคมแล้วก็เป็นการร้องรำทำเพลง
ตำแหน่งของซูโม่อี้ถูกจัดอยู่ท่ามกลางพระโอรส ซึ่งอยู่ต่ำกว่าองค์รัชทายาทเพียงขั้นเดียวเท่านั้น ขณะที่เขานั่งลงก็เงยหน้าขึ้นมองไทเฮาซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล วันนี้ผู้อาวุโสสวมชุดพิธีการสีแดงอมทองที่เต็มไปด้วยความเบิกบาน กำลังเอียงกายพูดกับหมัวมัว* ที่อยู่ข้างๆ แต่สายตากลับทอดมองไปยังผู้คนที่นั่งอยู่ด้านล่างราวกับกำลังมองหาใครสักคน
จะตามหาใครได้อีกเล่า ซูโม่อี้ก้มศีรษะและหัวเราะเบาๆ โดยใช้ปลายนิ้วลูบหนังสือนิทานพื้นเมืองชุดนั้น
“เสด็จยาย” เขาเดินไปช้าๆ “วันนี้เป็นวันพระราชสมภพของพระองค์ หลานจะต้องมาแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
เวลานี้ไทเฮาเพิ่งเพ่งสายตา ใบหน้าที่มองเขาอยู่แย้มยิ้มตามสัญชาตญาณ แต่เพียงไม่นานก็ไม่รู้ว่าคิดถึงอะไรจึงแสร้งหุบยิ้ม ทำท่าทางแปลกๆ สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ดูทั้งแย้มยิ้มทั้งโกรธเคือง
ซูโม่อี้ถูกไทเฮาดึงตัวมาข้างหน้า “ที่แท้เจ้ายังจำวันเกิดของยายเจ้าได้ด้วยหรือ” น้ำเสียงเช่นนี้เขาไม่ต้องมองก็รู้ว่าเวลานี้ไทเฮาจะมีสีหน้าเช่นไร
ซูโม่อี้รีบยื่นหนังสือนิทานพื้นเมืองในมือให้พระพลางพูดยิ้มๆ “นี่เป็นของขวัญที่เตรียมไว้ให้เสด็จยายโดยเฉพาะพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อไทเฮาเห็นหนังสือประวัติศาสตร์ชุดหนึ่งที่เขาถืออยู่ในมือก็โกรธมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม แต่ขณะที่กำลังจะพิโรธซูโม่อี้ก็หันไปด้านข้างเพื่อบังสายตาของบรรดานางกำนัลและหมัวมัวแล้วเปิดมุมหนึ่งของหนังสือ ก่อนพูดเบาๆ “เหลืออยู่เพียงชุดเดียวเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
โทสะที่กำลังจะปะทุขึ้นมากลับมลายหายไปในทันที ก่อนไทเฮาจะรับสั่งให้คนนำหนังสือไปเก็บให้ดีด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส แล้วหันมาบ่นซูโม่อี้ “น้ำใจของเจ้ามอบให้ยายไม่รู้สึกเสียดายบ้างหรือ เอาไปหลอกสตรีโฉมงามยังจะดีเสียกว่า”
ซูโม่อี้รู้สึกหนาวสันหลังราวกับมีลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง
ไทเฮาจับจ้องเรื่องการแต่งงานของเขา ไม่ใช่เพียงวันหรือสองวัน ก่อนหน้านี้ยังดีที่สุดท้ายก็แล้วแต่เขา ทว่าตั้งแต่เขามาเป็นเสนาบดีศาลต้าหลี่งานก็ยุ่งมากขึ้น ทุกครั้งที่ไทเฮาเห็นเขาหัวข้อสนทนาก็จะกลายเป็น ‘การบังคับให้แต่งงาน’
“เอ่อ…แค่กๆ ไม่ใช่เพราะงานยุ่งจนไม่มีเวลาสนใจผู้อื่นหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ…” เขากำหมัดและไอเบาๆ สองครั้ง คิดหาเหตุผลพร้อมกับหันหลังเตรียมจะหนี แต่กลับถูกไทเฮาดึงตัวกลับไปอีกครั้ง
“ดูเจ้าสิ วันๆ ไม่อยู่กับคนตายก็พบปะกับนักโทษ บุรุษที่เคยห้าวหาญ สง่าผ่าเผย เวลานี้มักทำหน้าบึ้งตึง ยายเห็นเจ้ายังต้องสวมเสื้อคลุมเพิ่ม ไม่เช่นนั้นมักรู้สึกสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง” หลังจากไทเฮาเอ่ยจบแล้วก็เอาเสื้อคลุมบางๆ มาคลุมตัว
“…” ซูโม่อี้ยืนอย่างเรียบร้อย ทั้งไม่กล้าส่งเสียงใด
“ยายคิดว่าเจ้าถึงวัยตั้งหลักตั้งฐานนานแล้ว หาคนมาดูแลเจ้าสักคนก็ดี ดูแลเจ้าแล้วยังทำให้ยายวางใจด้วย”
“หลานเคารพคำสั่งสอนของเสด็จยายพ่ะย่ะค่ะ” ซูโม่อี้ไม่กล้าฟังต่อไปอีก จึงถวายบังคมอย่างเชื่อฟังและเตรียม ‘วิ่งหนี’
“เพราะฉะนั้น เฮ้อ…เจ้าอย่าหนีนะ” ไทเฮาเอ่ยพร้อมดึงตัวซูโม่อี้กลับไปอีกครั้ง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าน้องซูของเจ้ากลับมาที่วังเมื่อไม่กี่วันก่อน ไม่ได้เจอกันหลายปีนางคิดถึงเจ้ามาก ไม่ง่ายเลยกว่าที่เจ้าจะเข้าวังสักครั้ง ประเดี๋ยวพบนางเสียหน่อยนะ”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 24 เม.ย. 67