ทุกคนต่างพากันเงียบเหมือนเป็นใบ้ไปหมด แม้เว่ยซูจะใจกว้างเพียงใด แต่ในเวลานี้ก็ไม่สามารถระงับสีหน้าที่บึ้งตึงเอาไว้ได้แล้ว หญิงสาวที่เพิ่งกลับวังมาไม่นาน แม้กระทั่งอยู่ต่อหน้ามารดาผู้ให้กำเนิดยังเหนียมอาย เมื่อถูกซูโม่อี้ต่อว่าต่อขานเช่นนี้ใบหน้าก็ยิ่งขึ้นสีแดงตั้งแต่แก้มจนถึงคอ นิ้วขาวทั้งสิบนิ้วจับใบหน้าเล็กของตนเองเอาไว้อย่างทำอะไรไม่ถูก พร้อมกัดริมฝีปากล่างจนเลือดแทบจะออกแล้ว
“เจ้ามาหายายเดี๋ยวนี้!” ไทเฮาทนดูต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว จึงดึงแขนเสื้อของซูโม่อี้อีกครั้งแล้วลากเขาจนโซเซ
ฮองเฮาซึ่งอยู่ข้างๆ ก็ไม่สามารถเข้าไปเกี่ยวข้องได้ จึงนำเว่ยซูซึ่งถูกเหยียดหยามจนน้ำตาคลอเบ้าหลบออกไปไกลๆ
“ปากของเจ้าเป็นอะไรไป” ไทเฮาโมโหจนหายใจหอบตลอดเวลา ทว่ากลัวคนอื่นได้ยินแล้วจะทำให้เว่ยซูอับอายอีกครั้ง จึงลดเสียงลงและเอ่ยถามอย่างจริงจัง “เจ้าจะเออออตามคำพูดของผู้อื่นไม่ได้หรืออย่างไร”
ซูโม่อี้ยังคงมีสีหน้าจริงจังพลางพูดอย่างเคร่งขรึม “เป็นผู้พิพากษาอะไรผิดก็ว่าไปตามผิด เรื่องไม่ถูกต้องเช่นนี้จะให้ยอมคล้อยตามได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้า! แค่กๆ…” ไทเฮาถูกถามจนพูดไม่ออก จึงไม่รู้ว่าจะเอ่ยอะไรไปชั่วขณะ ทำได้เพียงกุมอกแล้วไอออกมา นางทอดสายตามองซูโม่อี้ด้วยสีหน้าที่ดูเสียใจอย่างยิ่งแล้วกล่าวว่า “ครั้งก่อนองค์หญิงเยวี่ยอันที่ยายหามานั้นเจ้าก็ติว่ามีเขี้ยวไม่เป็นระเบียบ พอหาคนที่มีฟันเรียงสวย เจ้าก็ติเขาว่าไฝน้ำตาของเขาไม่สมมาตรกัน ตอนนี้เจ้าไม่ชอบอะไรเกี่ยวกับน้องซูผู้นี้อีก”
ซูโม่อี้คิดไปคิดมาก็พูดเรียบๆ ว่า “เดินแกว่งเกินไป และคิ้วสองข้างก็สูงต่ำไม่เท่ากันพ่ะย่ะค่ะ”
ไทเฮาได้ยินดังนั้นก็แทบกระอักโลหิตออกมา
นางกำนัลและหมัวมัวที่อยู่ข้างๆ รีบยกน้ำชามากันให้วุ่นวาย
ซูโม่อี้จึงถือโอกาสถอยออกห่างไปเล็กน้อย
ไทเฮาผ่อนคลายลงครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย “ยายว่ายายไม่ควรสนใจเรื่องนี้ของเจ้า หากรู้ตั้งแต่แรกว่าไปๆ มาๆ ผลจะเป็นเช่นนี้ยายเอาเวลาไปอ่านหนังสือเพิ่มอีกสักสองสามหน้าจะดีกว่า”
“เสด็จยายตรัสถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้า!” ไทเฮาชะงักอีกครั้ง ก่อนจะจิบชาที่นางกำนัลส่งมาให้ และโบกมือด้วยความรำคาญ “ไปๆๆๆ ยายไม่อยากเจอเจ้าอีกในเวลาอันสั้นนี้”
ท่าทางยังมีเวลาอีกระยะหนึ่งที่จะไม่ต้องถูกบังคับให้แต่งงานแล้ว ซูโม่อี้สมใจแล้ว เขารู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย จึงกลับมาทำตัวน่ารักเหมือนเมื่อครู่อีกครั้ง
ซูโม่อี้หันหลังกลับไป เตรียมถวายบังคมลาไทเฮา ทว่าหางตากลับเหลือบไปเห็นที่ว่างใต้บันไดโดยไม่ได้ตั้งใจ…ซ่งเจิ้งสิง
บางทีอาจเป็นเพราะไฟในห้องจัดเลี้ยงถูกแรงลมพัดจนแกว่ง ซูโม่อี้จึงตาลายไปชั่วพริบตาเช่นกัน
ใช่แล้ว หากรู้ตั้งแต่แรกว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร เหตุใดบางคนถึงยังยอมเสี่ยงโดยไม่เสียดาย ไทเฮาไม่ยอมแพ้เพราะเรื่องสำคัญของบุตรหลาน แล้วพวกเขาเล่า
เมื่อความคิดผุดขึ้นมาก็ไม่สามารถควบคุมได้อีกต่อไป ซ่งเจิ้งสิงเป็นขุนนางมาหลายสิบปีแล้ว เหตุใดเขาจึงโง่งมถึงขั้นให้หวังหู่มารับโทษสถานหนัก แต่กลับเปิดเผยตนเองโดยไม่ทันมีการโต้แย้งง่ายๆ แทนเช่นนี้ แม้หวังหู่จะถูกตัดสินประหารชีวิต แต่ก็ต้องผ่านกระบวนการที่ยาวนาน ผ่านการพิจารณาทบทวนจากกรมอาญา และสุดท้ายยังต้องให้ฮ่องเต้พิจารณาชี้ขาด ในกระบวนการนี้ฆาตกรตัวจริงในคดีฆ่าข่มขืนอาจจะก่อคดีขึ้นอีกครั้งได้ตลอดเวลา ถ้าเช่นนั้นคดีถูกใส่ร้ายของหวังหู่ก็จะเปิดเผยตนเองโดยไม่ทันมีการโต้แย้ง ซ่งเจิ้งสิงเคยเป็นเสนาบดีกรมอาญา เรื่องเช่นนี้เขาไม่น่าจะคิดไม่ถึง ถ้าเช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้เพียงทางเดียวเท่านั้น…ลมหายใจติดขัดทันที ซูโม่อี้ตกใจจนหนาวสันหลังกับความคิดที่ผ่านเข้ามาในสมอง
การถวายบังคมที่ยังไม่เสร็จกลับต้องค้างอยู่เช่นนั้น
“เสด็จยาย หลานยังมีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการ เกรงว่าจะไม่สามารถกินอาหารเย็นกับพระองค์แล้วพ่ะย่ะค่ะ” ทันทีที่พูดจบซูโม่อี้ก็วิ่งออกจากพระราชอุทยานไปตามทางเดินเล็กๆ หลังพระตำหนักโดยไม่ได้รอคำตอบจากไทเฮา
เมื่อถึงประตูพระราชวังซูโม่อี้ก็เลิกเสื้อคลุมด้านหน้าขึ้น พลิกตัวขึ้นหลังม้า แล้วสั่งเยี่ยชิงด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เร็วเข้า! ไปตามคนที่ศาลต้าหลี่ ไปห้องขังนักโทษประหารที่ว่าการเมืองหลวงกับข้า!”