หลินหวั่นชิงที่อยู่ข้างหน้าเดินเร็วไปตลอดทาง ข้างหูได้ยินแต่เสียงน้ำกระเซ็น น้ำฝนผสมกับโคลนที่สะสมบนถนนหินศิลาดำเปื้อนมุมเสื้อคลุมของเขาอย่างรวดเร็ว ทิ้งรอยทั้งลึกและตื้นเอาไว้
ซูโม่อี้บอกว่าหลินหวั่นชิงไม่เข้าใจเกี่ยวกับคดีของหวังหู่ ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจจริงๆ คดีแบบใดกันที่ต้องใช้คนที่ถูกใส่ร้ายมาต่อรองจึงจะสามารถสอบสวนได้ ยิ่งไปกว่านั้นคนที่ถูกใส่ร้ายนอกจากหวังหู่แล้วยังมีตัวเขาเองอีกคน อาศัยความพยายามและเวลานับสิบปี หากจะให้เขาทอดทิ้งทุกอย่างไป ถ้าเช่นนั้นก็ต้องจากไปอย่างชัดเจนและเข้าใจ อย่างไรเสียจะจากไปเพียงเพราะประโยคที่ว่า ‘เจ้าไม่เข้าใจ’ ไม่ได้ เป็นใครก็ยอมรับไม่ได้!
ความคิดของหลินหวั่นชิงฟุ้งซ่าน ด้วยการเดินอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็มาถึงหน้าประตูที่ว่าการเมืองหลวง เพียงหมุนเท้าก็จะเดินเข้าไปทางประตูข้างแล้ว
ที่ว่าการเมืองหลวงมีขุนนางและเด็กรับใช้จำนวนมาก แม้ในเวลาปกติผู้คุมคุกจะไม่ได้อยู่ร่วมกับขุนนางบุ๋นเช่นพวกเขามากนัก แต่หลินหวั่นชิงมักช่วยบันทึกคำให้การและเข้าไปในคุกหลายครั้ง ดังนั้นจึงมีไมตรีระหว่างสหายร่วมงานกับผู้คุมคุกอยู่บ้าง ตอนนี้เขายังคงสวมชุดของที่ว่าการเมืองหลวง และในตัวยังมีแผ่นป้ายเพื่อแสดงฐานะของตนเอง นอกจากนี้ในตอนเช้าเขายังเป็นคนไปพบซูโม่อี้พร้อมกับเจ้าเมืองหลี่อีกด้วย เพียงบอกว่ามีสำนวนความบางส่วนยังไม่สมบูรณ์ ตอนนี้ต้องการเข้าไปเสริมคำให้การฉบับหนึ่งก็น่าจะเข้าไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ยิ่งไปกว่านั้นต้องรีบไปให้ทันช่วงเปลี่ยนเวรตอนกลางคืน เพราะหากคนน้อยสักหน่อยก็จะหลอกได้ง่ายยิ่งกว่า
จริงดังคาด ไม่เหนือความคาดหมาย เมื่อผู้คุมคุกที่อยู่หน้าประตูดูแผ่นป้ายแล้วและเห็นท่าทางเหนื่อยล้าของหลินหวั่นชิงก็รู้สึกว่าต้องเป็นเรื่องเร่งด่วนที่เบื้องบนเป็นผู้จัดการ ดังนั้นจึงไม่กล้าทำให้ล่าช้าจนเสียงาน ปล่อยให้หลินหวั่นชิงเข้าไปแต่โดยดี
ในห้องขังนักโทษประหารอันเงียบสงบและมืดมิด ตะเกียงส่งควันสีดำออกมาเป็นสาย ทิ้งรอยด่างไว้บนผนังเป็นดวงๆ ราวกับภูตผีปีศาจ อากาศภายในห้องว่างเปล่าอบอ้าว เวลาหายใจจะเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นอับของหญ้าแห้งและกลิ่นคาวจางๆ เสียงฝีเท้าก้าวยาวๆ ดังอยู่ข้างหู ทำให้หลินหวั่นชิงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
ภายใต้ตะเกียงน้ำมันสลัวๆ ตรงด้านในสุดของห้องขังนักโทษประหารมีชายสวมเสื้อผ้าขาดกะรุ่งกะริ่งผู้หนึ่งนั่งหมดกำลังใจอยู่ จอนผมยุ่งเหยิงปิดบังใบหน้าของเขา สิ่งสกปรกและสิ่งที่ตัดกันกับสภาพความสกปรกบริเวณรอบๆ ก็คือเลือดที่แห้งหมาดๆ บนเสื้อผ้าของเขา ดูโดดเด่นเกินไป ย้อมชุดนักโทษสีขาวจนกลายเป็นสีน้ำตาลแดง
“หวังหู่?” หลินหวั่นชิงลองเรียกครั้งหนึ่ง
สิ่งแรกที่ตอบสนองหลินหวั่นชิงกลับเป็นเสียงโซ่เหล็กที่น่าตกใจ คนผู้นั้นเหมือนสัตว์ร้ายที่หวาดกลัว ด้วยความตื่นตระหนกหวาดกลัวจนทำอะไรไม่ถูกจึงเอาแต่กุมศีรษะหลบซ่อนตัว หลินหวั่นชิงคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมีท่าทีตอบสนองเช่นนี้ จึงถอยหลังไปสองสามก้าวด้วยความลังเล แล้วก็เห็นเขาสงบลงตรงมุมห้องและลอบมองตนเอง มุมปากของเขาขยับไม่หยุด ส่งเสียงงึมงำๆ
เมื่อเดินเข้าไปใกล้หลินหวั่นชิงจึงได้ยินคำพูดซ้ำไปซ้ำมาของอีกฝ่ายที่ว่า “ข้ายอมรับสารภาพแล้ว ข้ายอมรับสารภาพทั้งหมดแล้ว…”
หลินหวั่นชิงตกตะลึง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงถามเบาๆ ประโยคหนึ่งว่า “เจ้ายอมรับสารภาพอะไร”
คนตรงหน้าตกใจและเสียงก็ดังขึ้นเล็กน้อย ในน้ำเสียงมีความหวาดหวั่นพรั่นพรึงและเต็มไปด้วยความความโกรธเคือง “ข้าเป็นคนฆ่า! ข้าเป็นคนฆ่าจ้าวอี๋เหนียง*.เอง ข้าเป็นคนฆ่าเอง…”
เมื่อฟังถึงตรงนี้ ในที่สุดหลินหวั่นชิงก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดหวังหู่ถึงยอมรับข้อกล่าวหาที่ปั้นน้ำเป็นตัวนี้ คดีถูกใส่ร้ายที่มีอยู่ทั้งหมดในโลกนี้มีอยู่สองสถานการณ์เท่านั้นคือไม่กล้าพูดหรือไม่ก็ยอมรับผิดเพราะทนถูกทรมานไม่ไหว และบุคคลตรงหน้านี้จะต้องเป็นอย่างหลังแน่นอน เขารู้ตัวว่าถูกจับได้ในที่เกิดเหตุ และผู้ตายก็เป็นอี๋เหนียงอันเป็นที่รักของขุนนางใหญ่ขั้นสามในราชสำนัก อยากจะถอนตัวโดยไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ นับเป็นการยากมาก คิดว่าเจ้าเมืองหลี่คงจะพูดอะไรบางอย่างกับเขา และน่าจะเป็นการตัดความหวังและความคิดทั้งหมดของเขา ประกอบกับการทรมาน การสร้างความกดดัน และการกักขังในที่มืดมิดเช่นนี้ คนที่เดิมทีก็ตื่นตระหนกหวาดกลัวจนทำอะไรไม่ถูกอยู่แล้วจึงเสียสติได้ง่ายๆ กลายเป็นคนที่ใครพูดอะไรก็คล้อยตามแล้ว