หลินหวั่นชิงจำต้องถามต่อไป “เจ้าบอกว่าเจ้าฆ่าจ้าวอี๋เหนียง แล้วยังจำได้หรือไม่ว่าใช้อาวุธอะไร”
คนที่อยู่ตรงข้ามงุนงงอยู่ครู่หนึ่งราวกับกำลังพยายามค้นหาอะไรในสมอง หลังจากนั้นจึงพูดว่า “มะ…มีด…มีดสั้นเล่มหนึ่ง”
หลินหวั่นชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะย้อนถามด้วยสีหน้าเย็นชา “ตอนลาดตระเวนยามวิกาลเจ้าพกกระบี่ชัดๆ พกกระบี่แต่กลับใชัมีด ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย”
หวังหู่ถูกถามจนจนมุม อ้ำอึ้งไม่มีเสียงตอบ มือที่เต็มไปด้วยเลือดจับโซ่เหล็กไว้แน่น ใบหน้าซีดเผือด
“หวังหู่ เจ้าฟังข้านะ ฮ่องเต้ทรงมอบคดีนี้ให้ใต้เท้าซูเสนาบดีศาลต้าหลี่จัดการแล้ว ใต้เท้าซูรู้ว่าเจ้าถูกใส่ร้าย แต่ลำบากตรงที่เจ้ายอมรับโทษเอง เขาจึงไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้” หลินหวั่นชิงก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว ยิ่งพูดเสียงยิ่งเบาลง “ขอเพียงเจ้าพูดความจริง ใต้เท้าซูจะต้องพลิกคดีให้เจ้าได้อย่างแน่นอน”
เมื่อหลินหวั่นชิงพูดจบคนตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและหมดหนทางลอดผ่านผมที่พันกันยุ่งเหยิง เขามองหลินหวั่นชิงอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ริมฝีปากที่แห้งผากอ้าออกแล้วก็ปิดลง ท่าทางอ้ำอึ้งอย่างมาก
หลินหวั่นชิงก้าวไปข้างหน้า นั่งยองๆ บนพื้นแล้วสบตาเขา “หวังหู่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเมื่อเจ้ายอมรับโทษแล้ว เจ้าจะต้องตายอย่างแน่นอน และจะถูกตัดสินประหารชีวิตโดยไม่ต้องรอจนถึงหลังชิวเฟิน ด้วย…”
“อะไรนะ!” หวังหู่ตัวสั่นเล็กน้อย แววตาที่หม่นหมองจ้องมองหลินหวั่นชิง และเอ่ยตอบอย่างไม่อยากเชื่อ “แต่…แต่ใต้เท้าหลี่บอกว่าขอเพียงข้ายอมรับสารภาพคดีนี้ เขาก็จะปกป้องข้าไม่ให้ตาย กระทั่งยังสามารถส่งข้าออกไปจากเมืองเซิ่งจิงด้วย อีกทั้งใต้เท้าซ่งก็จะไม่มีวันทำให้ข้าเดือดร้อนอย่างแน่นอน…”
หลินหวั่นชิงขยับเข้าใกล้อีกนิด มือที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อเกาะลูกกรง “หวังหู่ ใต้เท้าซูคือความหวังเดียวของเจ้าในตอนนี้แล้ว”
คนตรงหน้าเงียบไปราวกับตกอยู่ในสงครามระหว่างสติสัมปชัญญะกับกิเลสส่วนตัวที่มองไม่เห็น ตะเกียงน้ำมันที่อยู่เหนือศีรษะส่องแสงวูบวาบ บางครั้งก็ระเบิดเสียงดังเปรี๊ยะๆ แผ่วเบา ประกายไฟกระเด็นออกมาแล้วก็ดับลงอย่างรวดเร็ว บริเวณรอบๆ เงียบสงบ ทว่าบางขณะก็มีเสียงจอแจเช่นกัน หลินหวั่นชิงได้ยินเสียงดังโครมครามในอกของตนเอง ดวงตาจ้องมองหวังหู่นิ่งราวกับจะจ้องอีกฝ่ายให้ทะลุเป็นสองรู
ผ่านไปเป็นเวลานาน ในที่สุดหวังหู่ก็เอ่ยปากพูดขึ้น “ข้า…ไม่ได้ฆ่าคน ตอนที่ข้าไปถึงจ้าวอี๋เหนียงก็ตายไปแล้ว”
หัวใจของหลินหวั่นชิงหนาวเหน็บ เขาซักถาม “ดึกๆ ดื่นๆ เจ้าไปที่ห้องของสตรีทำอะไร”
หวังหู่ยิ้มแหยๆ แล้วบอก “นางเป็นญาติห่างๆ ที่เป็นสหายเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก ก่อนที่นางจะแต่งเข้าไปในจวนสกุลซ่งเคยเป็นคนที่ได้รับอนุญาตให้เป็นภรรยาของข้า เสียดายที่สวรรค์เล่นตลกกับมนุษย์…”
“เจ้าแอบไปพบนาง?”
หวังหู่ส่ายหน้าแล้วพูดอย่างจนใจ “นับตั้งแต่นางแต่งงานเข้าไปในจวนสกุลซ่ง พวกเราก็ไม่ได้พบกันอีกเลย จนกระทั่งเมื่อไม่กี่วันก่อนข้าบังเอิญพบรถม้าของจวนสกุลซ่งวิ่งอยู่บนถนน นางจึงถือโอกาสยื่นจดหมายมาให้ข้า ขอร้องให้ข้าพานางออกจากเมืองในตอนกลางคืน ข้าคิดว่านางเปลี่ยนใจ อยากจะคืนดีกับข้า ข้าจึงตอบตกลง แต่ในคืนนั้นข้ารออยู่นอกเรือนอย่างไรนางก็ไม่มา ด้วยเป็นห่วงความปลอดภัยของนางจึงเข้าไปสำรวจดู คิดไม่ถึงว่าพอเข้าไปถึงก็พบ…ศพนาง”
หวังหู่ดูเหมือนจะเย้ยหยันตนเอง ฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “นางสูญเสียมารดาไปตั้งแต่ยังเด็ก ต่อมาก็สูญเสียบิดา กว่าจะได้รู้จักกับญาติผู้พี่ในจวนท่านโหว แต่พริบตาเดียวกลับถูกจับให้แต่งงานไปอยู่ในสถานที่เช่นนั้น หากรู้อย่างนี้ตั้งแต่แรก…” ในน้ำเสียงของเขามีการตำหนิตนเองและความเสียใจอย่างไม่อาจปกปิดได้ และในที่สุดก็กลืนคำพูดต่อมาลงไป
หลินหวั่นชิงรู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะหวั่นไหวไปกับเหตุการณ์ตรงหน้า จึงเอ่ยถามต่อว่า “แล้วเจ้าพบผู้ต้องสงสัยในบริเวณใกล้เคียงบ้างหรือไม่”
หวังหู่ก้มหน้าคิด แล้วพูดอย่างลังเลว่า “ดูเหมือนก่อนที่ข้าจะเข้าประตูไปเห็นสตรีผู้หนึ่ง”
“หา?” หลินหวั่นชิงเริ่มเกิดความสนใจ “สตรีเช่นใด”
“ห่างกันค่อนข้างไกล จึงมองเห็นไม่ชัดเจน แต่นางรูปร่างไม่สูง สวมชุดที่ดูแล้วเหมือนสาวใช้จากจวนสกุลซ่ง ดูเหมือนขาจะพิการและเดินกะเผลกเล็กน้อย แต่นางก็อยู่บริเวณนั้นเป็นเวลาสั้นๆ ยังไม่ทันเข้าไปข้างในก็จากไปแล้ว”