บทที่ 4 กลัวถูกลงโทษ+การลงโทษโบยด้วยแส้
แสงจันทร์หนาวเหน็บ สายลมพัดเงาไม้ให้เคลื่อนที่อย่างแผ่วเบา
หลินหวั่นชิงไม่เคยรู้สึกว่าบริเวณรอบๆ เงียบสงบเช่นนี้มาก่อน ราวกับที่ว่าการเมืองหลวงทั้งหมดจมลงในทะเลสาบอันมืดมิดจนไม่เห็นก้นบึ้ง ข้างหูเป็นเสียงหายใจเร็วและเสียงฝีเท้าที่ว้าวุ่นของตนเอง รู้สึกราวกับว่าหัวใจถูกลากลงมา…ยิ่งลากก็ยิ่งจมลงเรื่อยๆ
ด้านนอกห้องขังเจ้าหน้าที่กลุ่มหนึ่งที่ควรคุมอยู่ก็หายตัวไป ประตูห้องขังซึ่งควรจะปิดนั้นเปิดอ้าเล็กน้อยและถูกสายลมยามค่ำคืนพัดไหวจนทำให้เกิดเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดแปลกประหลาด
ฝีเท้าของหลินหวั่นชิงราวกับถูกอะไรบางอย่างจับไว้ในฉับพลันและตอกไว้กับพื้นเสียจนแน่น ในอากาศมีกลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายลูกท้อเดือนหกและมีความอบอุ่น ยามสายลมพัดผ่านกลิ่นหอมก็กระจายหายไป ท่ามกลางแสงจันทร์ที่สว่างสดใสกลับมีกลิ่นคาวเลือดจางๆ ลอยมา รวมถึงไอร้อนจากตัวคน
“หวัง…หวังหู่…” ขณะที่หัวใจของหลินหวั่นชิงเต้นแรง ความหนาวเย็นบนสันหลังเมื่อครู่ก็เกิดขึ้นไม่ขาดสาย ทั้งยังมีเสียงดังหึ่งๆ ในสมองที่ราวกับจะระเบิดออกมา เบื้องหน้าพร่ามัวในทันที แม้แต่น้ำเสียงที่ออกจากปากก็เปลี่ยนไป ฟังดูแหบพร่าอย่างชัดเจน
หลินหวั่นชิงลืมไปอย่างหมดสิ้นว่าตนเองเข้าไปในห้องขังที่เคยนองเลือดห้องนั้นได้อย่างไร ศพของเจ้าหน้าที่ที่อยู่เวรเกลื่อนกลาดเต็มพื้นเหมือนโรงฆ่าสัตว์ พวกเขาทุกคนล้วนตายโดยไม่รู้ตัว ไม่เหลือแม้แต่คนเดียว ดวงตาที่ว่างเปล่าจ้องมองไปข้างหน้าอย่างเหม่อลอย สีหน้าบนใบหน้าหยุดอยู่ในช่วงเวลาแห่งความประหลาดใจ
หลินหวั่นชิงผลักประตูห้องขังที่เปิดแง้มไว้ เห็นหวังหู่นอนอยู่บนพื้น เขาจับคอที่เกือบขาดเป็นสองท่อนของตนเองไว้อย่างทำอะไรไม่ถูก ร่างกายกระตุกไปทั้งตัว ริมฝีปากสั่น แววตาที่มองหลินหวั่นชิงมีแวววิงวอนและร้อนรน แต่กลับพูดอะไรไม่ออก
“หวัง…หวังหู่…หวังหู่!” หลินหวั่นชิงพูดอะไรนอกจากนี้ไม่ออก ทำได้เพียงเอ่ยชื่อนี้ซ้ำๆ คำพูดอื่นๆ เหมือนจะมีหนามแหลมติดอยู่ในลำคอและกลายเป็นน้ำเสียงที่แตกสลายในพริบตา
มือที่เปียกโชกด้วยเหงื่อกดบาดแผลที่คอของหวังหู่ เลือดที่เหนียวและอุ่นไหลไปตามร่องนิ้ว เปียกแขนเสื้อและเสื้อด้านหน้า…
“อย่า…อย่าตาย…ไม่…ไม่เป็นไร…” หลินหวั่นชิงปลอบใจวุ่นวาย ทว่าพูดจาไม่มีความหมายใดๆ ทั้งสิ้น
กลิ่นหอมหวานเมื่อครู่กลับมาอีกแล้ว วนเวียนไปมาอย่างไร้ร่องรอยเช่นเดิม หลินหวั่นชิงตกตะลึง สังเกตเห็นว่ามือคู่ที่กำลังกดอยู่นั้นหลุดออกไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ตกลงบนกองหญ้าแห้ง มีเสียงดังครืดเบาๆ ไม่สิ เสียงนี้เหมือนดังมาจากด้านหลังชัดๆ
แกร๊ง…
เบื้องหน้าเป็นแสงสีขาว ที่ข้างหูเป็นเสียงดังกังวานของโลหะกระทบกัน หลินหวั่นชิงรู้สึกว่าด้านข้างของใบหน้าพลันเย็นวาบขึ้นมาทันที ราวกับจู่ๆ ก็มีน้ำแข็งนาบลงมาในฤดูหนาวอย่างไรอย่างนั้น จากนั้นก็มีเสียงดังตึง แสงนั้นสะท้อนไปในรอยแตกของผนังที่อยู่เบื้องหน้าเขา กวัดแกว่งประกายสีขาวอยู่ภายใต้แสงไฟที่พลิ้วไหว หลินหวั่นชิงสัมผัสใบหน้าตนเองโดยไม่รู้ตัว จึงพบว่าจอนผมยุ่งเหยิงที่ปลายนิ้วเป็นสีแดงอมดำและกลิ่นคาวเลือดอุ่นๆ
มีเสียงฝีเท้าดังวุ่นวายขึ้นทางด้านหลังพอดี หลินหวั่นชิงหันไปพร้อมหัวใจที่เต้นแรง เห็นตั้งแต่ประตูทางเข้าห้องขังไปจนด้านในสุดมีแสงไฟสว่างขึ้นตามลำดับ ราวกับมังกรไฟคลายร่างต่อหน้าต่อตา ห้องที่เดิมทีมีแสงไฟสลัวๆ ก็สว่างเจิดจ้าขึ้นในทันใด ประตูห้องขังถูกใครคนหนึ่งผลักออกอย่างแรงจนชนกับราวไม้ดังโครมคราม บริเวณโดยรอบสงบลงทันใด เหลือเพียงเสียงคบไฟและตะเกียงน้ำมันเท่านั้น
ด้านหลังแสงไฟมีร่างร่างหนึ่งเดินมาแต่ไกล อีกฝ่ายดูไม่รีบร้อน เสื้อคลุมยาวสีฟ้าก็เรียบร้อยงดงาม เมื่อเดินมาถึงตรงหน้าเขาและเห็นใบหน้าของเขาชัดเจน หลินหวั่นชิงก็เห็นว่าคิ้วกระบี่ของอีกฝ่ายขมวดอย่างเห็นได้ชัด
ริมฝีปากบางของซูโม่อี้ขยับเล็กน้อย มองเขาด้วยสีหน้ายุ่งยากแล้วพูดว่า “เจ้าหน้าที่หลิน เหตุใดถึงเป็นเจ้าอีกแล้ว”
หง่าง…หง่าง…หง่าง…
เสียงฆ้องบอกยามลากหางเสียงยาว กระจายไปตามถนนที่เงียบสงบ ลอยตามลมเข้าไปในศาลของที่ว่าการเมืองหลวงที่สว่างเจิดจ้าอย่างช้าๆ