ภายใต้แสงเทียนที่พลิ้วไหว หลินหวั่นชิงคุกเข่าลงบนพื้นด้วยจิตใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว มือที่เต็มไปด้วยรอยเลือดทั้งคู่ลูบกันไปมา ปลายนิ้วถูกันซ้ำแล้วซ้ำอีกราวกับต้องการถูผิวหนังออกไปชั้นหนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหนาวหรือเพราะสะเทือนใจ ขากรรไกรล่างที่เปื้อนเลือดของเขายังคงสั่นเทาอยู่ตลอดเวลา หลังจากรอยเลือดของหวังหู่แห้งก็กลายเป็นสีน้ำตาลแดง ยิ่งทำให้ใบหน้าที่เดิมทีก็ซีดอยู่แล้วไร้สีเลือดมากยิ่งขึ้นไปอีก
ตอนที่ซูโม่อี้ตามเจ้าเมืองหลี่เข้ามาก็เห็นสภาพเช่นนี้แล้ว ท่าทางของเขาไม่มีพิธีรีตองใด เพียงเลิกเสื้อคลุมขึ้นและนั่งลงที่ตำแหน่งข้างๆ เจ้าเมืองหลี่
หลินหวั่นชิงยังคงไม่มีการตอบสนอง ศีรษะของเขาถูกผ้าห่มบางคลุมไว้ เขาได้แต่นั่งเอนร่างไปมาแล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้นเพื่อมองเจ้าเมืองหลี่ที่นั่งตัวตรงอยู่บนบัลลังก์ ภายใต้แสงไฟใบหน้าครึ่งหนึ่งของเขาซ่อนอยู่ใต้เงาของผ้าห่มบาง มองเห็นสีหน้าไม่ชัดเจน
ส่วนเจ้าเมืองหลี่ที่ถูกลากขึ้นมาจากที่นอนกลางดึกตอนนี้สีหน้าดูอ่อนเพลียและโกรธขึ้ง สายตาที่มองไปทางหลินหวั่นชิงย่อมไม่ดีอยู่แล้ว เขาทำเสียงฮึ่มท่าทีเงียบขรึม วางสำนวนความในมือลงบนโต๊ะ แล้วชี้หน้าหลินหวั่นชิงพลางพูด “เจ้ารู้หรือไม่ว่าตนเองก่อเรื่องอะไรไว้!”
ดูเหมือนว่าคนที่อยู่หน้าบัลลังก์จะไม่ได้ยินมาก่อน จึงเงยหน้าขึ้นช้าๆ สบตากับอีกฝ่าย ดวงตาคู่นั้นที่ตอนเช้ายังดูฉลาดแจ่มใสเวลานี้กลับหม่นหมอง ทว่าก็แฝงความเด็ดเดี่ยวอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เขามองเจ้าเมืองหลี่อยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดอะไรสักคำ แต่มือเท้าของเจ้าเมืองหลี่กลับอ่อนแรงลงโดยไม่มีเหตุผล ทั้งยังลอบกลืนน้ำลายลงคอ
เจ้าเมืองหลี่ดึงชุดขุนนางที่ค่อนข้างรัดรูปแล้วพูดว่า “เจ้า…เจ้าทำเกินหน้าที่ ทำการสอบปากคำนักโทษจนทำให้หวังหู่ถูกฆ่าตาย แล้วยังรวมถึงชีวิตของผู้คุมคุกอีกหลายชีวิตโดยไม่มีสาเหตุ เจ้า…”
“เจ้าต้องการจะพูดอะไรก็พูดออกมา!”
ผู้คนหน้าบัลลังก์ต่างก็อ้าปากในทันที น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้น ทำให้ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นต่างพากันตกตะลึง
หลินหวั่นชิงรู้สึกตัว ดวงตาที่เดิมทียังมีความงุนงงอยู่เล็กน้อยพลันสดใสขึ้นมาทันที สะท้อนแสงไฟที่ส่องสว่างแวววาวระยิบระยับเป็นพิเศษ
เจ้าเมืองหลี่ตกใจ เขาชะงักไปและลืมตอบไปชั่วขณะ มือที่สั่นเทาตลอดเวลาชี้ไปที่หลินหวั่นชิงแล้วพูดว่า “เจ้า…เจ้า…ทำเกินหน้าที่ก่อน แล้วจึงบกพร่องในหน้าที่…ไม่เพียงแทรกแซงคดี แต่ยังฆ่าผู้ต้องสงสัยอีกด้วย! เจ้าช่าง…”
“สิ่งสำคัญคือข้าไม่ได้เป็นคนฆ่าหวังหู่ แต่เขาตายแล้ว ถูกใครฆ่า เหตุใดจึงต้องฆ่าเขา เจ้าไม่สนใจถามเรื่องราวเหล่านี้แต่กลับเก็บรายละเอียดปลีกย่อย คิดจะจับฆาตกรจากที่นี่หรืออย่างไร!”
“บังอาจยิ่งนัก!” เจ้าเมืองหลี่เบิกดวงตาหรี่เล็กเพราะเพิ่งตื่นนอน เอ่ยเสียงดังกังวาน ตัวพิงไปข้างหลังโดยไม่รู้สึกตัว “ฆาตกรติดตามเจ้าจนหาห้องขังนักโทษประหารพบชัดๆ! เจ้าใช้ความสะดวกในอำนาจหน้าที่ทำให้ผู้คุมคุกที่ทำหน้าที่ดูแลเกิดความประมาท จึงทำให้เกิดหายนะ แล้วยังกล้าบิดเบือนความจริงเหยียดหยามข้า…”
“เจ้าดูไม่ออกหรืออย่างไร” หลินหวั่นชิงดึงแขนเสื้อกว้างที่โชกไปด้วยเลือด เลิกผ้าห่มบางบนตัวออกและลุกขึ้นยืนทันที ก่อนจะพูดขึ้น “หวังหู่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องตาย! คนที่ฆ่าเขามีการเตรียมตัวมาอย่างดี ฝีมือฉับไว ลงมือคล่องแคล่ว! นอกจากนักฆ่าและองครักษ์ที่ตายแทนเจ้านายที่เลี้ยงไว้ได้แล้วจะมีใครสามารถลอบเข้าไปในห้องขังภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงครึ่งถ้วยชาได้ แล้วยังฆ่าผู้คุมคุกที่ถือดาบคมไว้ในมือหลายคนอย่างต่อเนื่องได้อีกด้วย!”
ขณะที่หลินหวั่นชิงถาม เขาเดินเพียงไม่กี่ก้าวก็มาถึงเบื้องหน้าเจ้าเมืองหลี่ คราบเลือดทั่วตัวเขามีทั้งที่แห้งกรังและที่ยังไม่แห้ง เมื่อผสมกับกลิ่นน้ำมันตะเกียงก็เหม็นคาวจนทำให้คนรู้สึกวิงเวียน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกลิ่นคาวที่แรงหรือเพราะถูกหลินหวั่นชิงทำให้ตกใจ เจ้าเมืองหลี่ตาลีตาเหลือกชั่วขณะ เอนตัวไปด้านหลังไม่หยุดจนเกือบจะตกเก้าอี้ จึงรีบจับมุมโต๊ะไว้แล้วสั่งเจ้าหน้าที่ให้ขวางหลินหวั่นชิงเอาไว้
จากนั้นเจ้าเมืองหลี่จึงรู้สึกโล่งใจ พยายามรวบรวมสมาธินั่งตัวตรง และยังใช้มือประคองหมวกแพรโปร่งบนศีรษะอย่างทุลักทุเล “สิ่งสำคัญก็คือหวังหู่ตายแล้ว เป็นเพราะเจ้า…”
“สิ่งสำคัญก็คือเจ้าทำผิดแล้ว!” หลินหวั่นชิงจ้องหน้าเจ้าเมืองหลี่โดยไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย ขมับขาวนวลเห็นเส้นเลือดดำได้รางๆ