ไม่นานก็มีเสียงฝีเท้าฉับไวและเสียงกระซิบกระซาบของสตรีดังขึ้น มีคนเคาะบานประตูแล้วกล่าวทักทายด้วยเสียงแผ่วเบา จากนั้นพวกนางก็เข้ามาในห้องส่วนตัวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ผู้ที่เข้ามาคือสตรีที่มีอายุมากกว่าสามสิบปีสี่คน แม้อายุถึงเพียงนี้ไม่ถือเป็นข้อได้เปรียบในหอคณิกา แต่เนื่องจากในยามปกติพวกนางดูแลตนเองอย่างเหมาะสม เมื่อเปรียบเทียบกับสาวรุ่นแล้วความงามของพวกนางจึงไม่ได้ลดน้อยลงเลย แต่กลับมีความสง่างามตามแบบผู้ใหญ่เพิ่มขึ้น
พวกนางแย้มยิ้มงดงามพลางนั่งลงข้างๆ พวกเขาทั้งสองคน ซุกตัวแล้วโอบกอดพร้อมส่งเสียงกระซิบแผ่วเบา ทั้งยังเติมสุราและชา กลิ่นแป้งอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของสตรีหอมฟุ้ง พร้อมสัมผัสอันอบอุ่นอ่อนโยน
มีคนลูบคลำแขนของหลินหวั่นชิงเหมือนไม่ได้ตั้งใจ นางไม่เคยพบกับสถานการณ์เช่นนี้มาก่อนจึงทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ นางแอบมองซูโม่อี้ที่อยู่ด้านข้าง แต่กลับได้ยินเสียงดังแปะๆ อย่างหนักหน่วงสองครั้ง
ซูโม่อี้ทำหน้าเย็นชา วางเศษเงินสองชิ้นไว้บนโต๊ะแล้วพูดว่า “ไปนั่งตรงข้ามข้า”
พวกนางรับเงินไปและไปนั่งลงด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย
หลินหวั่นชิงตกใจ รู้สึกว่าคนที่ลูบไล้นางเมื่อครู่ดูเหมือนจะลูบไล้แรงยิ่งขึ้น นางกระเถิบเข้าไปใกล้ซูโม่อี้อย่างเงียบๆ ดึงแขนเสื้อของเขาแล้วเรียกใต้เท้า เรียกแล้วก็ทำท่าทางชี้มือชี้ไม้ไปที่เงิน ถึงอย่างไรนางก็ไม่ได้มีฐานะร่ำรวย เบี้ยรายเดือนก็ไม่มีทางสูงสู้ซูโม่อี้ มาหอคณิกาครั้งหนึ่งอาจหมดตัวได้เลย
ซูโม่อี้ไม่ได้พูดอะไร เขาปลดถุงเงินออกจากเอวถุงหนึ่งแล้วโยนให้นางอย่างใจกว้าง
หลินหวั่นชิงรับเงิน แล้วหันกลับไปยัดใส่มือสตรีข้างกายอย่างมีความสุขคนละสองเหรียญ ถึงอย่างไรเงินที่ใช้จ่ายก็เป็นเงินของซูโม่อี้ นางย่อมไม่เป็นกังวลอันใดอยู่แล้ว
“เงินสี่ตำลึง” ซูโม่อี้ก้มศีรษะเป่าความร้อนจากถ้วยน้ำชาและพูดอย่างสงบว่า “หักจากเบี้ยรายเดือนของเจ้า”
หลินหวั่นชิงมือสั่นทันที นางเริ่มสงสัยในชีวิตตนเองแล้ว เบี้ยรายเดือนหนึ่งเดือนของนางเพียงหนึ่งพันห้าร้อยอีแปะ เท่ากับว่านางจะต้องทำงานให้กับซูโม่อี้อีกสามเดือนโดยไม่ได้รับเบี้ยรายเดือนหรือ จู่ๆ หลินหวั่นชิงก็รู้สึกว่าหากไม่มีอะไรเหนือความคาดหมายวันนี้นางคงจะไม่พบเบาะแสอะไรใหม่ๆ แล้ว เพราะขุนนางอำมหิตที่อยู่ข้างๆ ผู้นี้จะสามารถหาเบาะแสใหม่ๆ ทั้งหมดได้ด้วยตนเอง จากนั้นจึงถือโอกาสบีบคั้นให้นางทำงานโดยไม่ได้รับค่าตอบแทน
ถ้าเช่นนั้นเดือนใดปีใดนางจึงจะสามารถเข้าไปในห้องสำนวนความนั้นได้กัน
ทว่า…นางไม่ใช่สตรีที่จะยอมแพ้ง่ายๆ
หลินหวั่นชิงระงับความโกรธภายในใจ หยิบถ้วยเปล่าข้างตัวใบหนึ่งแล้วเสนอความเห็นพร้อมรอยยิ้มว่า “พวกเรามาเล่นต่อกลอนกันเถอะ ผู้แพ้จะต้องตอบคำถามของผู้ชนะหนึ่งคำถามและจะต้องพูดความจริง มิฉะนั้นจะต้องถูกปรับให้ดื่มสุราหนึ่งถ้วยหรือปรับเงินหนึ่งตำลึง ดีหรือไม่”
เมื่อได้ยินว่าจะได้เงิน พวกนางทุกคนที่นั่งอยู่ไม่มีใครที่ไม่อยากลอง แต่ก็มีบางคนพูดด้วยความกังวลว่า “แล้วคุณชายจะรู้ได้อย่างไรว่าคนที่ตอบคำถามนั้นเป็นความจริงหรือไม่”
หลินหวั่นชิงกะพริบตาแล้วยิ้มให้นางอย่างเจ้าเล่ห์ “ข้าย่อมรู้อยู่แล้ว” ในฐานะผู้พิพากษาตัดสินคดี หากไม่มีแม้กระทั่งความสามารถที่จะแยกแยะคำหลอกลวง การศึกษาค้นคว้าเป็นเวลาสิบปีมานี้ก็นับว่าเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์
การแข่งขันกำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า หลินหวั่นชิงทอยลูกเต๋าลงในถ้วยเปล่าแล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นการต่อกลอน พวกเรามาเริ่มด้วยคำว่า ‘ดอกไม้’ กันเถิด”
ทุกคนต่างเห็นด้วย เสียงต๊องๆ แต๊งๆ ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงเอื้อนเอ่ยคำกลอน
คนแรกเริ่มต้นว่า “บอกลาท่ามกลางดอกไม้ไร้ซึ่งวาจา ม่านเขียวฟ้าครามดุจเดิมแต่เวลาไม่หวนคืน”
คนที่สองพูดว่า “ดอกไม้ในป่าร่วงโรยแล้ว รวดเร็วนัก”
คนที่สามพูดว่า “ท่านผู้มีความตื่นรู้เท่านั้น จักดื่มให้คลายทุกข์ท่ามกลางมวลดอกไม้”
กฎของรอบนี้คือทุกคนไม่เพียงต้องต่อด้วยประโยคที่เกี่ยวกับ ‘ดอกไม้’ แต่ยังต้องมีคำนี้อยู่ในตำแหน่งที่สัมพันธ์กันอีกด้วย
ก่อนหน้านี้หลินหวั่นชิงเคยไปที่ห้องหนังสือของซูโม่อี้มาก่อน เห็นบนชั้นหนังสือของเขาเต็มไปด้วยกฎหมายและสำนวนความของทุกราชวงศ์ คิดว่าเขาในยามว่างคงจะไม่อ่านบทกวีเพื่อยกระดับความสุนทรีย์ของตนเองอย่างแน่นอน เบาะแสของคดีเงินและคดีฆ่าข่มขืน นางจะต้องได้มาด้วยตนเอง!
ในที่สุดก็ถึงตาของซูโม่อี้ ทุกคนต่างจ้องมองที่เงินในมือของเขา ทั้งห้องเงียบไปครู่หนึ่ง