พอเว่ยซูเห็นใบหน้าของผู้ที่มาอย่างชัดเจนแล้วก็พลันทำสีหน้าเคร่งขรึมทันที ความอ่อนโยนเรียบร้อยยามอยู่ต่อหน้าผู้อื่นอันตรธานไปสิ้น เหลือเพียงความดุร้ายบนใบหน้า “เจ้ามาด้วยเหตุใด”
สีหน้าของคนชุดดำเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะแย้มยิ้มแล้วพูดว่า “กระหม่อมมาเยี่ยมองค์หญิงอย่างไรเล่า และอยากจะขอความช่วยเหลือจากองค์หญิงเรื่องหนึ่ง”
เว่ยซูไม่ได้ตอบ เพียงมองเขา ดวงตาเป็นประกายเต็มไปด้วยการป้องกันตัว
ชายชุดดำหยิบขวดกระเบื้องสีขาวออกมาจากอกเสื้อแล้ววางลงบนโต๊ะ ในยามค่ำคืนเช่นนี้ยิ่งขับเน้นให้เสียงพูดของเขาชัดเจนยิ่ง “องค์หญิงทรงพบกับซูซื่อจื่อแล้วสินะ”
เว่ยซูตกใจ นางไม่ได้ตอบอะไร
ชายชุดดำยิ้ม คลึงขวดกระเบื้องในมือบนโต๊ะแล้วพูดว่า “องค์หญิงทรงรีบร้อนที่จะหาที่พึ่งให้ตนเองอยู่มิใช่หรือ” เขาหยุดครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ “ซูซื่อจื่อเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวผู้หนึ่งจริงๆ”
เว่ยซูได้ยินดังนั้นก็ยิ้มเยาะแล้วพูดว่า “ไทเฮาทรงเลี้ยงดูซูโม่อี้มาจนโต แล้วเขายังทำงานให้กับฮ่องเต้ด้วย หากเขาไม่ยินยอม ข้าจะบังคับเขาได้อย่างไร”
ดูเหมือนชายชุดดำจะคิดไว้แล้วว่านางจะต้องแก้ตัวเช่นนี้ จึงพูดอย่างใจเย็นว่า “ในเมื่อเขาไม่ยอม องค์หญิงทรงคิดหาวิธีไม่ได้หรืออย่างไร”
พอพูดจบเขาก็เขย่าขวดกระเบื้องในมือ “หากทำเพื่อเห็นแก่พระพักตร์ของราชวงศ์ ฮ่องเต้ ฮองเฮา หรือแม้แต่ไทเฮาจะทรงทำอย่างไร”
เว่ยซูตกตะลึงก่อนจะเข้าใจได้ในทันที เขาจะเป็นคนวางยาซูโม่อี้ด้วยตนเอง หากทั้งสองเป็นสามีภรรยากันแล้ว ไม่ว่าจะพิจารณาจากอะไรก็ตามซูโม่อี้ก็มีเพียงทางเลือกเดียวคือต้องแต่งงานกับนาง
“ฮองเฮาก็ทรงต้องการใกล้ชิดซูซื่อจื่อมิใช่หรือ แผนการนี้ทำหนึ่งได้ถึงสอง”
“หึๆ” เว่ยซูหัวเราะ “พวกเจ้าจะใจดีเช่นนี้เชียวหรือ เกรงว่าจะมีความมุ่งหมายอื่นแล้วใช้ข้าเป็นเหยื่อมากกว่ากระมัง”
ชายชุดดำผงะ เขาพูดยิ้มๆ ว่า “องค์หญิงตรัสเกินไปแล้ว”
เว่ยซูไม่เชื่อคำพูดของเขา นางจ้องหน้าเขาแล้วพูดว่า “เมื่อไม่กี่วันก่อนเกิดคดีฆาตกรรมขึ้นในจวนของราชเลขาซ่ง และฆาตกรถูกฆ่าตายในห้องขัง เวลานี้คดีนี้ถูกซูซื่อจื่อรับไปจัดการแล้ว”
น้ำเสียงของนางชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะพูดอย่างเย้ยหยัน “เรื่องนี้เกรงว่าจะเกี่ยวข้องกับผู้เป็นนายของพวกเจ้าด้วย”
ชายชุดดำตกตะลึง เขาไม่ได้พูดอะไรอีก
ท่ามกลางท้องฟ้าที่มืดมิด ทั้งสองคนค่อนข้างเงียบขรึม บรรยากาศเงียบงันไปชั่วขณะราวกับอยู่ในทะเลสาบลึก ท่ามกลางแสงจันทร์ที่เยือกเย็นมีเสียงลมหวีดหวิวดังขึ้นข้างหู ชวนให้รู้สึกวิงเวียนศีรษะไปชั่วขณะ เว่ยซูรู้สึกว่ามีมือหนึ่งกำลังบีบคอของนางอย่างแรง บีบให้นางต้องถอยไปสองสามก้าวจนเอวชนเข้ากับชั้นวางของโบราณที่อยู่ด้านหลัง เครื่องลายครามโบราณที่อยู่บนนั้นหล่นโครมครามตกลงมาแตกเกลื่อนเต็มพื้น
“องค์หญิง?!” นางกำนัลที่อยู่นอกประตูได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวจึงส่งเสียงถามขึ้นมา
ชายชุดดำยิ้มให้เว่ยซู “เจ้าลองสั่งให้นางเข้ามาสิ คืนนี้ข้าก็จะส่งเจ้าเข้าห้องขังนักโทษประหารของศาลต้าหลี่ในข้อหาปลอมตัวเป็นองค์หญิง หลอกลวงฮ่องเต้”
เว่ยซูรู้สึกหนักใจ ใบหน้าของนางซีดเซียวแล้วพูดกับคนนอกประตูทันทีว่า “ไม่เป็นไร ข้าไม่ทันระวังจึงเดินไปชน พรุ่งนี้เช้าค่อยทำความสะอาดก็แล้วกัน”
ด้านนอกประตูจึงไม่มีเสียงการเคลื่อนไหวอีก เวลานี้เว่ยซูจึงได้ลูบคลำลำคอที่ถูกอีกฝ่ายบีบจนแดง สูดลมหายใจเข้าแล้วพูดว่า “ข้าต้องทำอย่างไร”
ชายชุดดำยื่นขวดกระเบื้องในมือให้นางพลางเอ่ย “ง่ายมาก หาโอกาสเทยานี้ลงในชาของซูซื่อจื่อ แล้วไปรอที่สถานที่ที่กำหนดไว้ เมื่อถึงเวลาจะมีคนมาคอยช่วยเจ้าเอง”
“ซูซื่อจื่อจะเข้าวังก็ต่อเมื่อฮ่องเต้ทรงเรียกให้เข้าเฝ้า ในยามปกติมีเพียงไทเฮาเท่านั้นที่จะได้เห็นเขาบ้าง เจ้าคงจะไม่ให้ข้าลงมือต่อพระพักตร์ฮ่องเต้และไทเฮาหรอกกระมัง”
ชายชุดดำหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงใจเย็น “องค์หญิงทรงลืมไปแล้วหรือว่าอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ผลิของพระราชวงศ์แล้ว”
เว่ยซูกล่าว “ซูโม่อี้ไม่ไปหรอก เขาไม่ชอบงานเลี้ยงเช่นนี้”
ลมพัดจนหน้าต่างห้องนอนส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด ท่ามกลางแสงจันทร์ที่เงียบสงบช่างน่าหวาดกลัว ชายชุดดำคลึงยาในมือพร้อมพูดยิ้มๆ “เขาต้องไปแน่นอน เพียงแค่เราปล่อยเหยื่อที่เขาไม่สามารถปฏิเสธได้”