คดีของซ่งเจิ้งสิงยังเกี่ยวพันกับการสงเคราะห์ผู้ประสบภัยที่แม่น้ำหวงเหอเมื่อสองปีก่อนด้วย ปัญหาเรื่องเงินสงเคราะห์ผู้ประสบภัยนั้นเห็นได้บ่อยครั้งในทุกยุคทุกสมัย ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องใหม่ ไม่ใช่เรื่องสำคัญที่ต้องแปลกใจอะไร สุดท้ายแล้วก็เพียงผ่านราชวงศ์นี้ไป คนที่ควรถูกฆ่าก็ฆ่า ควรถูกลดขั้นก็ลดขั้น หากคนข้างล่างรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร ทำไม่รู้ไม่ชี้คว้าเงินไปจำนวนหนึ่ง ไม่แน่ว่าฮ่องเต้ก็อาจจะหลับตาข้างหนึ่งแล้วปล่อยไป แต่การสงเคราะห์ผู้ประสบภัยครั้งนั้นมีความพิเศษตรงที่ในจำนวนเงินสงเคราะห์ผู้ประสบภัยที่ทางราชสำนักได้รับจากทุกเขตมณฑลนั้นกลับปรากฏ ‘เงินปลอม’ ในจำนวนเงินที่เรียกเก็บมาได้ห้าสิบหมื่นตำลึงนั้นมีเงินปลอมมากกว่ายี่สิบหมื่นตำลึงที่ผสมมากับโลหะชนิดอื่นๆ
ยี่สิบหมื่นตำลึงเป็นรายได้ภาษีตลอดทั้งปีของเขตมณฑลแห่งหนึ่ง หากผู้คนนำไปใช้จ่ายจะทำให้ราคาสินค้าพุ่งสูงขึ้น และความเป็นอยู่ของราษฎรลำบากมากขึ้น และที่ทำให้น่ากลัวยิ่งไปกว่านั้นก็คือเงินเหล่านั้นมาจากคลังของแต่ละเขตมณฑล จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นการท้าทายพระราชอำนาจ ฮ่องเต้โกรธอย่างยิ่ง จึงมีความประสงค์ที่จะตรวจสอบอย่างเข้มงวดโดยทันที แต่สถานการณ์ของภัยพิบัติได้ดำเนินมาถึงขั้นที่ไม่อาจรั้งรอได้ หากทุ่มเทแรงกายแรงใจในการตรวจสอบอย่างเข้มงวดจะเป็นการสะสางความขัดแย้งภายในโดยมีความเดือดร้อนของราษฎรเป็นตัวประกัน สุดท้ายกรมอาญาได้ลงโทษผู้ควบคุมดูแลการหล่อเงินตราและผู้ใต้บังคับบัญชาในเหมืองแร่ประมาณห้าสิบกว่าคน ส่วนตัวการสำคัญนั้นได้ฆ่าตัวตายเพราะกลัวถูกลงโทษ เรื่องนี้จึงไม่สามารถตรวจสอบต่อไปได้อีก พูดไปแล้วคนเหล่านั้นหาผลประโยชน์จากอุทกภัยจึงต้องพบจุดจบเช่นนี้ แต่ภัยธรรมชาติและภัยที่เกิดจากมนุษย์นี้ แต่ไรมาก็ใช่ว่ามนุษย์จะสามารถควบคุมได้
ซูโม่อี้ไม่เชื่อว่าเรื่องราวจะประจวบเหมาะเช่นนี้ ภัยพิบัติไม่สามารถควบคุมได้ แต่เวลาในการรายงานต่อราชสำนักนั้นสามารถควบคุมได้ หากข่าวอุทกภัยครั้งนั้นมาถึงก่อนครึ่งเดือน ฮ่องเต้ก็จะไม่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ถูกกระทำเช่นนี้
เรื่องนี้จะประสบความสำเร็จได้ต้องมีเงื่อนไขสามประการ ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปไม่ได้
ประการแรกจังหวะที่ฮ่องเต้จะได้รับทราบสถานการณ์ของภัยพิบัติ ประการที่สองสะสางเบาะแสที่สามารถสืบสาวได้อย่างจริงจัง ประการที่สามมีความเกี่ยวข้องกับผู้ใต้บังคับบัญชาในเหมืองแร่แห่งใดแห่งหนึ่ง
หลังจากซูโม่อี้ได้สะสางเบาะแสแล้วจึงพบว่าขุนนางชั้นสูงในราชสำนักมีซ่งเจิ้งสิงเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่มีความสามารถดังกล่าว เขาเป็นขุนนางมาหลายสิบปีและรับใช้ฮ่องเต้สองรุ่น ในยุคราชวงศ์ก่อนเคยดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการหงโจวซึ่งกิจการเหมืองแร่เจริญรุ่งเรือง ต่อมาได้ถูกฮ่องเต้พระองค์ก่อนโยกย้ายไปรับตำแหน่งรองเสนาบดีกรมอาญา หลังจากเลื่อนขั้นไปดำรงตำแหน่งเสนาบดีกรมอาญาได้ไม่นานก็ได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้ให้เป็นราชเลขาธิการ แต่สงสัยก็คือสงสัย ไม่มีหลักฐาน ไม่มีแม้กระทั่งแรงจูงใจ ขุนนางคนสำคัญของราชสำนัก ศาลต้าหลี่ย่อมไม่สามารถไต่สวนได้ตามอารมณ์ ในที่สุดก็ทำได้เพียงส่งคนเข้าไปสอดแนมในจวนผู้หนึ่งเพื่อลอบสังเกตความเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบๆ
ส่วนคดีของหวังหู่นั้นซ่งเจิ้งสิงเป็นเหยื่อ สถานที่เกิดเหตุไม่ได้อยู่ในจวนของเขา จึงไม่สามารถตรวจค้นได้ จากการสอบถามก่อนหน้านี้หลายครั้งเขาตอบเพียงครั้งเดียว แสร้งทำท่าทางเศร้าเสียใจเจียนตาย ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ไปๆ มาๆ ก็สารภาพแต่สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ตอนนี้ขอเพียงเขาใช้การเศร้าเสียใจที่สูญเสียคนรัก ต้องการหลีกเลี่ยงภาพอันสะเทือนใจที่ทำให้เกิดความเศร้าโศกเป็นข้ออ้างในการปฏิเสธการเข้าพบ ซูโม่อี้ก็ไม่สามารถหาเหตุผลมาบังคับสอบสวนได้ ดังนั้นหลายวันมานี้ทางด้านซ่งเจิ้งสิงจึงไม่มีความคืบหน้าแม้แต่น้อย
คงจะไม่สามารถนั่งรอความตายเช่นนี้ตลอดไปได้
ซูโม่อี้เก็บอารมณ์ต่างๆ กลับมา เขาเงยหน้าขึ้นมองเยี่ยชิงแล้วพูดว่า “คืนนี้หลังจากฟ้ามืดแล้วไปสำรวจจวนสกุลซ่งกับข้า”
เยี่ยชิงเบิกตากว้าง รู้สึกว่าข้อเสนอนี้เสี่ยงเกินไป “ตะ…ใต้เท้าจะไปด้วยตนเอง?”
ซูโม่อี้มองหน้าเยี่ยชิงแล้วกลอกตา “ในศาลต้าหลี่ผู้ที่ข้าไว้วางใจที่สุดมีเจ้าเพียงผู้เดียว”
เยี่ยชิงรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่งจนขอบตาของเขาแดงเรื่อ
ขณะที่เขากำลังจะขอบคุณสำหรับความรักและการให้เกียรติของใต้เท้าซู กลับได้ยินน้ำเสียงเย็นชาของซูโม่อี้ดังขึ้น
“แต่สมองของเจ้าใช้การไม่ได้ ดังนั้นข้าจึงต้องลงมือเองเท่านั้น”
“…” เยี่ยชิงพูดอะไรไม่ออกไปพักหนึ่ง