ดูเหมือนว่าคนที่อยู่ด้านหลังนางจะสังเกตเห็นเช่นกัน จึงปล่อยมือนางเล็กน้อยแล้วผลักนางไปข้างหน้า
ไม่นะ หรือว่าเขาจะโยนข้าออกก่อน จากนั้นตนเองก็รอโอกาสหลบหนี
“พวกเจ้ากำลังทำอะไรอยู่” เสียงแหลมของสตรีดังขึ้นที่หน้าประตู ตามด้วยเสียงฝีเท้าที่สับสนอลหม่าน
ผู้คนในบริเวณนั้นพากันหยุดการค้นหา และพูดกับนางด้วยความเคารพนบนอบ “หวังอี๋เหนียง”
หลินหวั่นชิงรู้สึกว่าหัวใจที่กำลังจะหลุดออกมาจากลำคอผ่อนคลายลงมาก ดูเหมือนว่าจะไม่ถูกผลักออกไปในชั่วขณะ
“ห้องนอนของข้าเป็นที่ที่บ่าวรับใช้อย่างพวกเจ้าสามารถเข้ามาได้ตามอำเภอใจหรือ”
“ไม่ใช่ขอรับอี๋เหนียง” แสงไฟที่หน้าช่องโหว่ของตู้เสื้อผ้าสั่นไหว ชายผู้หนึ่งอธิบาย “เมื่อครู่นี้คุณชายบอกว่าเห็นคนแปลกหน้า หลี่อี๋เหนียงจึงได้ให้พวกข้าน้อยมาดูขอรับ”
หวังอี๋เหนียงหัวเราะเยาะแล้วพูดว่า “หลี่อี๋เหนียงเป็นใครกัน คืนนี้มีคณะงิ้วมาสร้างเวทีที่จวน การเห็นคนแปลกหน้าหนึ่งหรือสองคนเป็นเรื่องปกติมาก คุณชายตกใจเกินเหตุ พวกเจ้าก็พลอยบ้าไปด้วยหรือ”
ทุกคนอึกอัก ไม่ได้พูดอะไรอีก
“ไสหัวไป!”
หลังจากเสียงกรีดร้องด่าทอของหวังอี๋เหนียงเงียบลงก็มีเสียงแตกของเครื่องกระเบื้องเคลือบดังตามมา จากนั้นแสงไฟก็ดับลงตามมาด้วยเสียงการเคลื่อนไหวของทุกคนที่ออกจากห้องนอนไป
ในที่สุดหลินหวั่นชิงก็รู้สึกโล่งอก เส้นประสาทที่ตึงเครียดผ่อนคลายลง นางถอนหายใจเบาๆ พร้อมกับรู้สึกได้ว่าคนที่อยู่ด้านหลังตัวสั่นงันงก
จากนั้นอีกฝ่ายก็เอ่ยถามเบาๆ ขึ้นว่า “หลินหวั่นชิง?”
เฮ้อ…ข้าควรคิดได้ตั้งนานแล้วว่านอกจากใต้เท้าซูแห่งศาลต้าหลี่แล้วยังจะมีผู้ใดที่สามารถมาสำรวจจวนสกุลซ่งในยามค่ำคืนอย่างอวดดีเช่นนี้ได้อีก
เวลานี้ในห้องได้จุดเทียนแล้ว หลินหวั่นชิงหันกลับไปพยักหน้า อาศัยแสงสว่างสลัวๆ เห็นดวงตาที่ไม่มีทางเลือกของซูโม่อี้ หลังจากมั่นใจในสายตาแล้วทั้งสองต่างสบายใจขึ้นเล็กน้อย
ขณะที่กำลังจะคำนวณว่าเวลานี้ควรปลีกตัวออกไปอย่างไร กลับได้ยินหวังอี๋เหนียงส่งเสียงเรียก “ซานหลาง…” ด้วยน้ำเสียงหวานหยาดเยิ้มไปทางใดสักแห่งในห้อง
“…” ทั้งสองตกใจพร้อมกัน ไม่รู้ว่าด้านนอกเกิดอะไรขึ้น
หลังจากใต้เท้าซูพยักหน้าเห็นด้วย หลินหวั่นชิงจึงเปิดประตูไม้ตรงหน้าออกเป็นช่องโหว่เล็กน้อย เพียงมองแวบเดียวทั้งคู่ก็ยืดตัวขึ้นอีกครั้งในระดับที่แตกต่างกัน
ด้านหลังเตียงของหวังอี๋เหนียงมีชายแต่งกายเรียบร้อยเดินออกมาจริงๆ มิน่าเล่า…มิน่าเล่าเมื่อครู่นางจึงได้มีท่าทีตอบสนองอย่างรุนแรง ที่แท้ตนเองก็มีความลับในใจที่บอกใครไม่ได้!
“ซานหลาง…” เสียงของสตรีตรงหน้าอ่อนหวานหยดย้อยจนราวกับสามารถหลอมละลายเหล็กกล้าได้ นางเดินช้าๆ ไปหาชายที่นั่งอยู่บนขอบเตียง ภายใต้แสงเทียนมียอดเขาหิมะคู่หนึ่งซ่อนอยู่ใต้ผ้าไหมกระเพื่อมขึ้่นลง
“เจ้าไม่ไปดูงิ้วกับนายท่านที่ห้องโถงใหญ่หรือ มาทำอะไรที่นี่ เจ้าเกือบจะถูกพบเจอแล้ว” นางพูดด้วยถ้อยคำที่ดูไม่พอใจ แต่น้ำเสียงนั้นกลับเย้ายวนยิ่ง
ส่วนคนที่อยู่บนเตียงมองนาง ก่อนแย้มยิ้มและออกแรงที่มือรวบนางเข้ามาในอ้อมแขนของตนเองทันที
มือข้างหนึ่งของเขาลูบแก้มขาวนวลของนาง อีกข้างหนึ่งค่อยๆ สอดเข้าไปในหว่างขาที่หญิงสาวจงใจหนีบเอาไว้แน่น
“ชายชราอย่างท่านพ่อของข้าเวลานี้ปกป้องตัวเองยังไม่ได้ วันๆ ทำแต่เรื่องไร้สาระ ไม่สนุกเหมือนอยู่กับชิงชิงที่นี่…” ขณะที่พูดนิ้วเรียวยาวของเขาก็ขยับ กระตุ้นเสียงครวญครางจากหญิงสาว
“ไม่มาตั้งหลายวันชิงชิงไม่คิดถึงซานหลางหรือ”
ฝ่ายบุรุษพูดพลางปลดกางเกงของตนเองออก ทันทีที่ปลดออกของสีคล้ำที่อยู่ตรงหว่างขาของเขาก็ยื่นออกมาอย่างอดใจไม่ไหว มุทะลุดุดัน มีเส้นเลือดสีน้ำเงินรายล้อมอยู่
“อ้าขาออก ให้ซานหลางเข้าไปปลดปล่อยให้เต็มที่”
หลินหวั่นชิงที่อยู่ในตู้เสื้อผ้าไม่ทันตั้งตัวกับสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า นางเหม่อลอยราวกับรูปปั้นหิน…
อนุภรรยาของบิดากับบุตรชายเป็นฝ่ายแสดง นางกับซูโม่อี้เป็นฝ่ายดู…
เช่นนี้เร้าอารมณ์เกินไปหรือไม่
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 15 พ.ค. 67