คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่
ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 7.2
หลินหวั่นชิงและซูโม่อี้ทนทรมานอยู่หนึ่งชั่วยามจึงหลุดพ้น
จู่ๆ ด้านนอกห้องก็มีเสียงดังอึกทึกขึ้นขัดจังหวะคนสองคนในห้อง หวังอี๋เหนียงและซ่งซานหลางต่างคนต่างรีบแต่งตัว หลังจากจัดการตนเองเรียบร้อยแล้วก็ทำความสะอาดหลักฐานที่หลงเหลืออยู่ภายในห้อง ก่อนที่ซ่งซานหลางจะกระโดดหน้าต่างออกไป
ไม่นานบ่าวรับใช้ก็มาถ่ายทอดคำพูด เชิญหวังอี๋เหนียงไปที่ห้องโถงใหญ่
ซูโม่อี้เข้าใจทันที เยี่ยชิงคงจะเห็นว่าเขาไม่ได้ไปพบกับอีกฝ่ายตามเวลาและสถานที่ที่นัดหมายกันไว้ จึงได้ปลอมตัวเป็นมือสังหารไปก่อกวนการลาดตระเวนของจวนสกุลซ่งตามที่ได้วางแผนกันไว้ล่วงหน้า
กว่าทั้งสองจะย่องออกจากจวนสกุลซ่งได้ก็เป็นเวลาดึกดื่นแล้ว ซูโม่อี้เงียบมาตลอดทาง หลินหวั่นชิงคิดว่าเป็นเพราะนางเกิดความคิดอยากจะมาสำรวจจวนสกุลซ่งในเวลากลางคืนจนทำให้เขาโกรธ ดังนั้นทันทีที่เข้าสู่ประตูศาลต้าหลี่แล้วก็รีบกลับห้องของตนเองอย่างซึมเซาด้วยความรู้สึกผิด
เมื่อเห็นหลินหวั่นชิงไปไกลแล้ว ซูโม่อี้จึงถามเยี่ยชิงว่า “เจ้าได้อะไรจากห้องของจ้าวอี๋เหนียงบ้าง”
เยี่ยชิงส่ายหน้า พูดอย่างหน้าม่อยคอตก “ไม่ได้อะไรเลยขอรับ” ดูท่าทางของทุกอย่างจะถูกทำความสะอาดอีกครั้ง วิธีการนี้เหมือนกับคดีเงินปลอมในตอนนั้นราวกับแกะ ฆ่าคนปิดปาก ทำลายศพ และทำลายหลักฐาน
ซูโม่อี้ไม่ได้ถามอะไรอีก แต่กลับไปที่ห้องหนังสือ แสงเทียนค่อยๆ สว่างขึ้น เขาหยิบกระดาษบันทึกออกมาจากแขนเสื้อ ในนั้นมีแต่ชื่อหนังสือเกี่ยวกับการขุดเหมืองแร่และการถลุงแร่ ซ่งเจิ้งสิงไม่ได้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการหงโจวมาหลายปีแล้ว แต่หนังสือเหล่านี้ในห้องหนังสือกลับใหม่เอี่ยม เขารู้สึกแปลกใจจึงจดมาทั้งหมด
ซูโม่อี้หันกลับไปหาสำนวนความคดีหวังหู่ที่ชั้นไม้ด้านหลัง แล้วอ่านรายละเอียดทั้งหมดหนึ่งรอบ ตามที่หลินหวั่นชิงพูด มีดสั้นไม่ใช่อาวุธสังหาร แล้วในเมื่อไม่ใช่อาวุธสังหาร เหตุใดมันจึงปรากฏในที่เกิดเหตุ ยิ่งไปกว่านั้นหวังหู่ไม่ใช่คนที่ฆาตกรตัวจริงคิดถึงตั้งแต่แรก ดังนั้นมีดสั้นเล่มนั้นย่อมไม่ใช่หลักฐานที่ฆาตกรเจตนาจะโยนความผิดให้หวังหู่อย่างเด็ดขาด มันไม่สมเหตุสมผลเลย…
“โฮ่งๆ”
ยามนี้เองก็มีเสียงสุนัขเห่าดังกังวานมาจากระยะไกล นั่นเป็นสุนัขล่าสัตว์ชื่อ ‘ซืออวี้’ ที่เขาเลี้ยงไว้ในศาลต้าหลี่
ซูโม่อี้ลุกขึ้นยืนอย่างฉุนเฉียวและเปิดหน้าต่างออกทันที กลับเห็นหลินหวั่นชิงกำลังถูกซืออวี้ไล่กวดจนต้องวิ่งหนีอุตลุดไปทั่ว อีกฝ่ายกระโดดขึ้นลงอย่างไม่มีทิศทางใดๆ ดูท่าทางจนตรอกอย่างมาก
ซูโม่อี้ตกตะลึงไปเล็กน้อย จากนั้นจึงยกมุมปากขึ้น วันนี้อยู่ในตู้เสื้อผ้านั่น อาจเป็นเพราะถูกขังอยู่ในนั้นนานเกินไปจนขาดอากาศหายใจ สมองพร่าเบลอจนเขาเผลอคิดว่าหลินหวั่นชิงเป็นสตรี คนผู้นั้นจะเป็นสตรีไปได้อย่างไร ยามนี้ในใจของเขาพลันเกิดอยากแกล้งอีกฝ่ายขึ้นมา ขณะที่หันไปและกำลังจะปิดหน้าต่างก็ได้ยินเสียงหลินหวั่นชิงร้องเรียกด้วยความหวาดกลัว ไม่รู้ว่าเหยียบโดนอะไร ทันใดนั้นเท้าก็อ่อนยวบลง ตัวพุ่งไปข้างหน้า แล้วล้มลงกับพื้นในที่สุด
ทว่าในเวลานี้สุนัขล่าสัตว์ซึ่งปกติจะเย่อหยิ่งเย็นชาเหมือนซูโม่อี้กลับก้าวไปข้างหน้าและกอดขาของหลินหวั่นชิงเอาไว้
“สุนัขเจ้าชู้!” หลินหวั่นชิงตะโกนลั่นพร้อมถีบขาหวังจะสลัดมันออก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะซืออวี้กอดแน่นเกินไป นางถีบกี่ครั้งมันก็ไม่ขยับแม้แต่น้อย อีกทั้งยังกอดขาของหลินหวั่นชิงแน่นอย่างตั้งใจ
“…” หัวใจของซูโม่อี้ราวกับจะหยุดเต้นได้กระนั้น เขามีสีหน้าไม่น่าดู จู่ๆ ก็เกิดความคิดวู่วามอยากจะเพิ่มพรมหนังสุนัขอีกสักผืน
“ซืออวี้!” ซูโม่อี้เรียกมันอย่างเย็นชา
สุนัขที่เมื่อครู่ยังคึกคักอยู่พอได้ยินเสียงเรียกนี้ก็ตกใจรีบหยุดขยับเอวเสียจนเอวเกือบเคล็ด
“กลับไป!” ซูโม่อี้ชี้หน้ามัน ซืออวี้พลันรีบวิ่งหนีหางจุกก้น
ผู้คนใต้แสงจันทร์พากันมองไปทางเขาราวกับยังไม่หายตกตะลึง ซูโม่อี้ก้มศีรษะหลบสายตาของหลินหวั่นชิง ขณะที่เขาหันหลังปิดหน้าต่างอย่างเด็ดขาด ลูกกระเดือกขยับเล็กน้อย
“สตรี…เป็นต้นเหตุของความหายนะ” เขาพึมพำเสียงเบาจนกระทั่งเสียงของเยี่ยชิงดังขึ้นที่ข้างหู
เยี่ยชิงหยิบเทียบเชิญใบหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ ส่งให้ซูโม่อี้แล้วพูดว่า “ใต้เท้า นี่มาจากในวังขอรับ”
เดิมทีซูโม่อี้ก็กำลังว้าวุ่นอยู่แล้ว ยามนี้จึงขมวดคิ้วถามว่า “มีอะไร”
เยี่ยชิงเอ่ยตอบ “เป็นเทียบเชิญให้เข้าร่วมการล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ผลิของพระราชวงศ์ขอรับ”
น้ำเสียงของซูโม่อี้หมดความอดทนเล็กน้อย “อ้อ ไม่ไป”
เปลือกตาของเยี่ยชิงกระตุก เขารู้สึกจนปัญญากับความอวดดีของเจ้านายตนเอง “แต่…เทียบเชิญนี้ไทเฮาทรงเป็นผู้ออกเองขอรับ”
ซูโม่อี้พูดอย่างขอไปที “อืม ครั้งก่อนเสด็จยายตรัสว่าไม่ต้องการพบข้าในระยะเวลาอันสั้นนี้ บอกไปว่าข้างานยุ่ง ปลีกตัวไปไม่ได้”
“แต่…” เยี่ยชิงพูดไม่ออก ไม่รู้ว่าจะพูดโน้มน้าวต่อไปอย่างไรดี ต้องรู้ว่าผลของการทำอะไรตามอำเภอใจของเจ้านายผู้นี้ก็คือสายตาที่ไทเฮามองเขาจะไม่เป็นมิตรไปอีกนาน เขาทำได้เพียงหอบความหวังเพียงเล็กน้อยครั้งสุดท้าย อ่านเทียบเชิญนี้ตั้งแต่ต้นจนจบเพื่อดูว่าจะหาข้ออ้างตรงกับความสนใจของอีกฝ่ายได้บ้างหรือไม่ ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เป็นประกาย “ใต้เท้า ราชเลขาซ่งก็ได้รับเชิญเช่นกันนะขอรับ”
คนที่เดิมทีกำลังคิดอะไรเพลินๆ จู่ๆ ก็ยืนตัวตรงขึ้นมาทันที หันมามองเยี่ยชิงแล้วพูดว่า “ซ่งเจิ้งสิงจะไปหรือ”
เยี่ยชิงพยักหน้าแล้วพูด “ขอรับ การล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ผลิครั้งนี้เป็นข้ออ้างว่าฮ่องเต้เอาพระทัยใส่ขุนนางอย่างหนึ่ง ซ่งเจิ้งสิงไม่กล้าไม่ไป”
ซูโม่อี้ได้ยินดังนั้น จู่ๆ ดวงตาของเขาก็สดใสขึ้นมาทันที เขาเอ่ยตอบเยี่ยชิง “ถ้าเช่นนั้นก็ตอบรับคำเชิญแล้วกัน”
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน พฤษภาคม 2567)