หญิงสาวผมยาวกำลังนั่งอ่านเอกสารอยู่ในห้องทำงาน ขณะที่เสียงเคาะประตูดังขึ้นและร่างสูงใหญ่ก็ปรากฏขึ้นในวินาทีถัดมา
“สวัสดีค่ะ คุณกริช” เสียงทักทายนั้นสดใส มาพร้อมรอยยิ้มจริงใจ
กฤตินทิ้งกายลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม สีหน้าบึ้งตึง “ไหนว่าจะไปอาทิตย์นึง ปาเข้าไปตั้งสิบวัน”
“ใครบอกคุณคะว่าฉันจะไปอาทิตย์นึง”
เวรแล้วไง ไอ้ทินกรตัวแสบ
“ก็คุณไม่บอกอะไรเลย ผมก็ถามคนโน้นบ้างคนนี้บ้าง แล้วก็สรุปออกมาอย่างนี้แหละ” เสียงห้าวๆ ตอบอย่างกระแทกกระทั้น
“สงสัยคุณนกคงบอกคุณไปว่าฉันจองห้องพักไว้หกคืนแหงเลย แต่ก็นั่นแหละ อะไรๆ มันก็ไม่เป็นไปตามแผน”
“แผนอะไร”
“ฉันกะจะไปงานเลี้ยงกับอาสาริศแค่วันเดียว แต่คุณอาบอกให้ฉันอยู่ดูงานที่เชียงใหม่ก่อน ศึกษาระบบ ศึกษาแผนงานต่างๆ เอาไว้ ดูว่ามันต่างจากในกรุงเทพฯ ยังไง จะได้รู้งานกว้างขึ้น ก็ว่าจะอยู่ดูงานอาทิตย์นึง แต่พอดีฉันสมองไม่ค่อยไว เรียนรู้ช้า เลยต้องอยู่ต่ออีกสองสามวัน”
ใบหน้าคมเข้มยังคงบึ้งตึงดังเดิม “คุณนึกจะไปก็ไป ไม่เห็นบอกผมเลยสักคำ เหมือนกับที่วันดีคืนดี คุณก็หนีไปนอนที่หัวหินซะเฉยๆ อย่างนั้นแหละ มือถือก็ไม่ได้เอาไป ถามอะไรกับเลขาฯ คุณกับหนูแดงของคุณนั่นก็ไม่ได้เรื่องสักอย่าง ผมโมโหจริงๆ นะไทร่า คุณทำเหมือนผมไม่มีความหมายอะไรเลย”
“ฉันลืมมือถือไว้ที่บ้าน แต่ฉันก็โทรหาคุณแล้วนะคะ”
“แค่สองครั้งเอง”
“แล้วคุณจะให้โทรทุกวันเลยเหรอ”
“ใช่” คนตอบยังคงกระแทกเสียงตอบ หากสีหน้าแววตาเหมือนเด็กถูกขัดใจ คมเข้มแต่น่ารัก
อรกานต์ยิ้มหวาน พยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ “คุณงอนแล้วไม่หล่อเลยคุณกริช ยิ้มหน่อยดีกว่าน่า ฉันมีของฝากมาด้วยนะ”
ว่าแล้วหล่อนก็หยิบกล่องกระดาษใบหนึ่งขึ้นมาวางบนโต๊ะ
อีกฝ่ายมีสีหน้าดีขึ้นนิดหนึ่ง ถามเสียงทีเล่นทีจริง “เปลี่ยนจากของฝากเป็นอย่างอื่นได้มั้ย”
“อะไรคะ”
“คุณ”
“ฉัน?” อรกานต์ถามย้ำ สีหน้างุนงงสงสัย
“ก็คุณไง” ชายหนุ่มพูดช้าๆ เสียงทุ้มนุ่มเชิญชวนน่าฟัง
“ไปดินเนอร์กันเย็นนี้ แล้วต่อกันที่คอนโดฯ ผม ค้างกับผมสักคืนให้ชื่นใจหายคิดถึงหน่อย ให้สมกับที่ไม่ได้เห็นหน้าคุณตั้งหลายวัน”
“คุณกริช…” หญิงสาวครางเสียงแผ่ว ใบหน้าแดงก่ำก่อนกลับมาซีดเผือด นัยน์ตาเบิกกว้างอย่างคาดไม่ถึง
“นะไทร่า เราคบกันตั้งหลายเดือนแล้ว”
“คะ…แค่…สามเดือนเองนะคะ”
“ตั้งสามเดือนต่างหาก กับคนอื่น คุณใช้เวลาไม่ถึงสามวันเลยด้วยซ้ำ”
“กับคนอื่น?” อรกานต์เลิกคิ้วถาม
“ใช่ กับคนอื่นๆ น่ะ คุณง่ายๆ ไม่มีพิธีรีตอง ไม่เห็นระเบียบจัดเหมือนที่ทำกับผมเลย”
“กับคนอื่นไหน” น้ำเสียงของหล่อนเข้มขึ้น อารมณ์ก็ชักเริ่มกรุ่นขึ้นมาเช่นกัน
“อย่าถามผมเลยว่าคนอื่นคนไหน คุณก็รู้ๆ อยู่ เอาเป็นว่าผมรู้ก็แล้วกัน”
อรกานต์นับหนึ่งถึงสิบในใจ ตั้งสมาธิไว้ มองตรงไปยังภาพดอกไม้ใบหญ้าที่อยู่บนผนังเพื่อกั้นไม่ให้น้ำตาเอ่อท้น
ทำไมหล่อนไม่เชื่อสัญชาตญาณของตัวเองแต่แรกนะ ทฤษฎีของหล่อนนั้นถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ ผู้ชายเพียบพร้อมขนาดนี้ เพลย์บอยชัดๆ ยังจะโง่เง่าหลงคารม หลงไว้วางใจ เผลอใจไปให้เขาทำไมตั้งมากมาย ความสุภาพและการเอาใจใส่เล็กๆ น้อยๆ ที่เขามีให้อย่างสม่ำเสมอ เขาก็แค่หวังในเรือนกายของหล่อนเท่านั้น ทำไมหล่อนถึงได้โง่อย่างนี้
“ถ้าฉันปฏิเสธล่ะคุณกริช ฉันขอยืนยันคำเดิม กลับบ้านไม่เกินสี่ทุ่ม ไม่งั้นก็ไม่ไปไหนทั้งนั้น”
“ผมไม่เข้าใจคุณจริงๆ ผมด้อยกว่าพวกนั้นตรงไหน ผมน่ารังเกียจตรงไหน ผมจริงใจกว่าด้วยซ้ำ ผมห่วงคุณจริงๆ คิดถึงคุณจริงๆ นะ”
“ความห่วงใย ความเอาใจใส่ และความคิดถึงของคุณ ฉันขอรับไว้ ขอบคุณค่ะ”
“ให้ตายเถอะ อย่าว่าแต่เวลาสามเดือนกับการเอาใจใส่ทั้งหมดเลย บางคนลงทุนแค่กาแฟแก้วเดียวเองด้วยซ้ำ คุณยังโอเคง่ายๆ”
“คุณกริช!” อรกานต์รู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วใบหน้า น้ำตาพานจะเอ่อคลอขึ้นมาให้ได้ รู้สึกโมโหตัวเองที่โง่ และโกรธความมักง่ายใจง่ายของเจ้าของร่างขึ้นมาจับใจ
“มันจะมากไปแล้วนะคะ คุณไม่ให้เกียรติฉันเลย”
“ผมให้เกียรติคุณมาตลอดนะ ผมรอให้เราคุ้นเคยกันก่อน ผมรอให้คุณพร้อม แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่คุณจะพร้อมเสียที”
“เมื่อไหร่ฉันก็ไม่พร้อมทั้งนั้นแหละ ไม่มีทาง” อรกานต์ตะคอก แววตาเรืองรองด้วยความโกรธ
ฝ่ายตรงข้ามส่งสายตาสว่างวาบ คมกล้าไม่แพ้กัน ราวกับมีประจุไฟฟ้าปะทะกันกลางอากาศ
“ทำไมคนอื่นได้ แล้วผมไม่ได้” คนถามถามเรียบๆ แต่คนฟังเจ็บแปลบ ผิวหน้าชาสะท้าน ทั้งโกรธ ทั้งอับอายจนกำหมัดแน่น กัดริมฝีปากล่างจนเจ็บ น้ำตาซึ่งกักกดเก็บไว้ภายในมานานเริ่มคลอคลอง
ทำไมคนอื่นได้น่ะเหรอ ไปถามธีร์วราสิ หล่อนจะไปรู้ได้ยังไง รู้แต่ว่าตอนนี้ร่างนี้เป็นของหล่อน และหล่อนไม่ให้ ไม่ให้เด็ดขาด!