ด้วยตระหนักถึงความผิดปกติ นางจึงลืมตาและเห็นคนผู้นั้นมาอยู่ตรงหน้าตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ เขายืนอยู่หน้าที่นั่งคนขับ มือหนึ่งถือกระบอกไม้ไผ่ที่ใส่น้ำแกงปลาพลางใช้ตะเกียบไม้ไผ่ที่ทำขึ้นชั่วคราวกินเนื้อปลาในน้ำแกงด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย กินไปมองนางไปด้วย
หญิงสาวตระหนกจนเกือบจะกระถดตัวไปข้างหลัง โพล่งถามออกมา
“เจ้าทำอะไร?!”
“เจ้าล้มลงบนพื้น” เขาพูดตาไม่กะพริบ “ข้าเลยมาดูว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่”
นางตะลึงงัน จ้องเขาอย่างขุ่นขึ้ง อยากยันตัวเองขึ้นทว่าไม่มีแรง
“ในเมื่อยังมีลมหายใจ ยังพูดได้ ก็น่าจะยังดีอยู่”
เขาพูดไปกินไป กินจนปากมันแผล็บ ที่น่าโมโหยิ่งกว่าคือท้องของนางดันส่งเสียงร้องโครกครากออกมาอย่างไม่เอาไหนในเวลานี้
เขาได้ยิน นางรู้ว่าเขาได้ยิน แต่นางยังไม่ทันได้รู้สึกเขินอาย เจ้าคนน่าโมโหผู้นี้กลับมองนางแวบหนึ่ง จากนั้นก็มองน้ำแกงในกระบอกไม้ไผ่ของตน ก่อนจะแหงนหน้าสูงดื่มน้ำแกงปลาที่เหลือจนเกลี้ยงต่อหน้านาง
เขาดื่มหมดแล้ว นางรู้ น้ำแกงในกระบอกไม้ไผ่อันนั้นถูกดื่มจนไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว
ทันใดนั้นโทสะก็พลันพุ่งขึ้นมาอีกระลอก
นางรู้ว่าเขาจงใจ ตอนวางกระบอกไม้ไผ่เขายังเลียริมฝีปากด้วยท่าทางเอร็ดอร่อยไม่หาย จากนั้นก็หันหลังเดินจากไปอีกครั้ง…
นางโมโหกว่าเดิมอย่างไร้สาเหตุ ชายผู้นั้นกลับชะงักเท้าในจังหวะนี้แล้วหันกลับมายิ้มถาม
“ใช่แล้ว แม่นาง ถ้าเจ้าหิว ข้ายังมีน้ำแกงปลาอีกหนึ่งกระบอกไม้ไผ่ จะให้ข้านำมาให้เจ้าหรือไม่”
“ไม่ต้อง!”
ชั่วขณะที่โพล่งออกไป นางก็นึกเสียใจภายหลัง จะเอาชนะไยต้องเป็นเวลานี้ด้วย นางควรคว้าโอกาสกินอาหาร รีบฟื้นฟูร่างกายจะได้ปกป้องตัวเองได้ แต่คนผู้นี้กวนประสาทและน่าโมโหเกินไปจริงๆ ทำให้นางไม่ทันคิดให้รอบคอบ
ซ่งอิ้งเทียนจ้องนางแล้วยิ้ม เหมือนเดาได้แต่แรกแล้วว่านางต้องพูดเช่นนี้ เขาไหวไหล่ หมุนตัวกลับไปอีกครั้ง เดินกลับไปข้างกองไฟอย่างสบายอารมณ์
ความอับอายของนางแปรเปลี่ยนเป็นโทสะที่รุนแรงกว่าเดิม จึงตัดสินใจหลับตาเสีย
พยัคฆ์ตกที่ราบถูกสุนัขรังแก จริงๆ หากไม่เพราะบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ นางจะตกต่ำถึงขั้นถูกมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งปั่นหัวเล่นเช่นนี้หรือ
รอให้ข้าหายดีก่อน สารเลวผู้นี้อย่าได้ตกมาอยู่ในมือข้าเลย!
คนเป็นหมอจิตใจเมตตาดุจบิดามารดาบ้าบออะไร! มนุษย์บัดซบ! บ้าจริง! ไปตายเสียเถอะ…
น่าโมโห…น่าโมโห…น่า…
…ความมืดจู่โจมเข้ามา เนื่องจากเหนื่อยล้าและอ่อนเพลียเกินไป ประกอบกับเสียเลือดมาก นางไม่มีแรงจะคิดมากอีก ได้แต่จมดิ่งลงสู่ความมืดอีกครั้ง
ทว่าแม้จะเป็นเช่นนี้ นางยังคงพยายามประคองสติเสี้ยวสุดท้ายไว้ ไม่กล้าปล่อยให้ตัวเองหมดสติไปโดยสมบูรณ์
กลิ่นหอมของอาหารพวกนั้นยังคงอยู่ ยังคงรบกวนนาง แต่นางก็ได้ยินเสียงลมพัดเช่นกัน ยังได้ยินเสียงลาพ่นลมหายใจ ได้ยินเสียงน้ำไหล ได้ยินเสียงถ่านปริแตกเพราะถูกเผาไหม้
หญิงสาวผ่อนคลายลงช้าๆ
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด บางทีสุดท้ายนางยังคงหมดสติไปอยู่ดี แต่พอเขากลับขึ้นมาบนรถอีกครั้งนางก็รู้ตัวแทบจะในทันที
นางพยายามที่จะตื่นแล้ว แต่กลับทำไม่ได้
นางไม่ไว้ใจคนผู้นี้ แต่นางเหนื่อยจนมิอาจควบคุมร่างกายตัวเองได้ เปลือกตาเหมือนหนักเป็นพันชั่ง ถึงขั้นขยับนิ้วมือไม่ได้ด้วยซ้ำ
เขาขึ้นมาบนรถ นั่งลงข้างกายนาง ไม่รู้กำลังทำอะไร
ทันใดนั้นเขาก็ยื่นมือมาดึงเสื้อผ้านางออก ลูบไล้ร่างกายนางแล้วถอดเสื้อผ้าออกไป
หัวใจนางเต้นเร็วขึ้นอย่างมิอาจควบคุม มิใช่เพราะเขินอาย แต่เป็นเพราะหวาดกลัว
นางไม่รู้เลยว่าตัวเองกลัวมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งด้วย แต่บัดนี้มือของนางไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะมัดไก่ ได้แต่ปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจ อีกทั้งนางมิอาจควบคุมอารมณ์ของตัวเอง มิอาจควบคุมความรู้สึกอดสูที่จู่โจมจิตใจได้เลย
แค่ชายคนหนึ่ง นางจะกลัวอะไร เรื่องอะไรบ้างที่นางไม่เคยพบไม่เคยเจอ?!
รอให้นางได้สติ รอให้ร่างกายนางฟื้นฟู นางต้องให้เขาชดใช้แน่…