แม่ของเด็กสาวเป็นญาติของชายหนุ่ม แม้จะไม่ถึงกับเป็นญาติสายที่ห่างไกล แต่ก็ไม่ได้สนิทสนมกัน เจอกันเฉลี่ยไม่ถึงปีละหนด้วยซ้ำ ก่อนหน้านี้เขาทราบเพียงว่าอีกฝ่ายแต่งงาน มีลูกสาวหนึ่งคน และที่สำคัญสามี ‘ค่อนข้างมีปัญหา’ ทว่าเขาก็แค่ปล่อยข้อมูลนี้ผ่านหูไป จวบจนได้ยินข่าวอีกครั้งตอนที่ผู้เป็นญาติล้มป่วยเสียชีวิต มีเสียงเล่าลือว่าส่วนหนึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการโดนสามีทำร้ายร่างกายตอนเมา และเมื่อไปงานศพเขาก็ได้พบกับปรีชยาเป็นครั้งแรก
ตอนนั้นเด็กสาวยังใช้คำนำหน้าว่าเด็กหญิงอยู่เลย นอกจากความโศกเศร้าเสียใจแล้ว อีกสิ่งที่เห็นได้ชัดก็คือลักษณาการที่ผิดจากเด็กวัยรุ่นธรรมดาทั่วไปของเธอ ภาพที่เธอซุกตัวอยู่กับสายใจผู้เป็นย่า คล้ายพยายามหลบให้พ้นจากสายตาของพ่อนั้นกระทบใจของพัชร จนกระทั่งเขาต้องลงทุนลงแรงสืบเสาะเรื่องราวความเป็นมาเป็นไป และสุดท้ายในวันที่ไปร่วมงานฌาปนกิจศพของญาติ เขาก็ตัดสินใจเดินเข้าไปคุยกับปรีชยาและย่าของเธอ ออกปากว่าจะส่งเสียเลี้ยงดูหลานสาวเอง โดยมีเงื่อนไขว่าเด็กสาวจะต้องอยู่กับย่าไม่ใช่พ่อ
ทั้งสองย่าหลานดูตกใจไม่น้อยกับข้อเสนอ โดยเฉพาะปรีชยาซึ่งแม้จะถือเป็นญาติแต่ก็ไม่รู้จักชื่อของเขาด้วยซ้ำ…อย่างไรก็ตามสายใจเป็นแม่ที่ยอมรับความจริงว่าลูกชายของตนนั้นย่ำแย่ ในเวลานั้นท่านเองก็แยกไปอยู่ตามลำพังแล้ว แม้จะสงสารหลานแต่ก็จนปัญญาจะช่วยเพราะลำพังตัวเองยังเอาแทบไม่รอด ทว่าเมื่อพัชรออกปากแบบนี้ท่านก็สามารถรับเด็กสาวมาดูแลเองได้
ชายหนุ่มจัดแจงหาบ้านเช่าดีๆ ใกล้โรงเรียนของปรีชยาให้สองย่าหลานพักอาศัย ค่าใช้จ่ายทุกอย่างเขาจัดการให้ทั้งหมด กระทั่งจ้างแม่บ้านให้มาช่วยสายใจดูแลหลานสาวด้วย…ส่วนตัวพัชรเองก็อธิบายให้ปรีชยาฟังว่าเขาเห็นเธอแล้วนึกถึงตัวเอง เพราะครอบครัวเขาก็มีปัญหาหลายอย่าง ถึงขั้นที่พ่อแม่ทะเลาะกันในรถจนประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตทั้งคู่ ซึ่งก็ไม่รู้เพราะเหตุผลนี้หรือเพราะความเกี่ยวพันทางสายเลือดที่ทำให้เด็กหญิงยอมก้าวข้ามผ่านความกลัวและความไม่มั่นใจของตนเองจนสนิทกับเขามากขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตามปัญหาของปรีชยาไม่ใช่แค่เรื่องในครอบครัว เธอโดนเพื่อนกลั่นแกล้งทั้งทางวาจาและร่างกาย พอเธอขึ้นชั้นมัธยมปลายพัชรเลยจัดแจงหาโรงเรียนใหม่ให้ รวมถึงพาเธอไปเจอแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ กระนั้นเรื่องร้ายที่สะสมหมักหมมมาหลายปีก็หยั่งรากลึกแล้ว ทุกวันนี้เธอยังเป็นคนที่ไม่มั่นใจในตัวเองในแทบทุกเรื่อง กระทั่งการไปยืนต่อหน้าคนแปลกหน้าสักคนยังเป็นเรื่องยากเย็น แต่อย่างไรก็ต้องนับว่าเธอพัฒนาขึ้นจากวันแรกที่ได้เจอกันมากทีเดียว และอย่างน้อยตอนนี้เธอก็สนิทคุ้นเคยกับญาติภักดิ์โภคินในตึกนี้หลายคนแล้ว
“งั้นปุ้มมาอยู่ที่นี่ดีกว่า เผื่อวันไหนคุณบังอรต้องการลูกมือ” เด็กสาวพึมพำ
ชายหนุ่มเหลือบมองหลานสาวอย่างแปลกใจ ก่อนที่มุมปากจะยกเป็นรอยยิ้มนุ่มนวล…ด้วยตัวตนของปรีชยา เพียงแค่เธอคิดจะมาอยู่ในที่ที่วุ่นวายเต็มไปด้วยผู้คน นั่นก็ถือเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่แล้ว ต่อให้ที่นี่เป็นออฟฟิศของเขาก็เถอะ
“ใครๆ ต้องอิจฉาน้าแน่ มีเลขาฯ ตั้งสองคน”
ปรีชยามองใบหน้าหล่อเหลาของผู้เป็นน้า อดคิดไม่ได้ว่าตนเองช่างโชคดีที่ได้เจอกับเขา ไม่อย่างนั้นเวลานี้ชีวิตจะพลิกผันไปทางใดก็สุดรู้ ยิ่งไปกว่านั้นน้าชายไม่เคยแสดงทีท่าไม่ดีกับความแปลกประหลาดของเธอเลย ที่เธอดีขึ้นขนาดนี้ถือเป็นความดีของเขากว่าครึ่ง และความซาบซึ้งใจนี้ก็ผลักดันให้เธอพยายามเพราะไม่อยากให้เขาต้องผิดหวัง
อย่างไรก็ตามเมื่อไม่นานมานี้ความรักของพัชรกลับอับปาง ลำพังเป็นข่าวให้โจษจันกันไปทั้งเมืองนั้นเขาคงไม่ใส่ใจเท่าไหร่ ทว่าการที่นีรัมพรทิ้งเขาไปมีคนใหม่แบบไม่ประวิงเวลานี่สิ…ไม่ว่าเป็นใครก็ต้องเสียใจทั้งนั้น ปรีชยาเป็นห่วงน้าชาย แต่แค่จะถามไถ่เขาถึงเรื่องนี้เธอกลับไม่กล้าด้วยซ้ำ
“มีอะไร อยากพูดอะไรกับน้าก็พูดเถอะ ปุ้มก็รู้นี่ว่าพูดกับน้าได้ทุกเรื่อง” ชายหนุ่มสังเกตเห็นท่าทางคล้ายอยากพูดอะไรบางอย่างของอีกฝ่าย เมื่อนึกถึงนิสัยของเธอแล้วเขาเลยลงมือกระตุ้น
“คือเรื่อง…แฟนเก่าของคุณน้า” ตอนแรกเด็กสาวกระอึกกระอัก แต่เมื่อพูดออกไปแล้วถ้อยคำที่เหลือก็พรั่งพรูตามออกมา “ปุ้มเป็นห่วงคุณน้าพัชรแต่ก็ไม่กล้าถาม เอ้อ แต่ถ้าคุณน้าไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ก็ไม่เป็นไรนะคะ อันที่จริงมันก็เรื่องส่วนตัวของคุณน้า”
“ปุ้มถามได้อยู่แล้ว” พัชรวางมือลงบนศีรษะของหลานสาวหลังจากเงียบไปพักหนึ่ง “ที่พูดขึ้นมาอยากถามอะไรล่ะ อยากถามว่าทำไมน้าถึงเลิกกับนีนี่หรือว่ายังไง”