บทที่ 140
สำหรับเหล่าขุนนางแล้ว วันหยุดอย่างวันที่สิบนี้นับว่าเป็นโอกาสนอนเกียจคร้านที่หาได้ยากยิ่ง ขุนนางทั้งหลายต่อให้ต้องออกจากบ้านไปเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอก หากไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตายจริงๆ แล้วล่ะก็ พวกเขาอย่างไรก็ต้องขอนอนต่อจนเต็มอิ่มเสียก่อนถึงจะลุกขึ้น
ผิงเจียงป๋อที่บ้านอยู่ติดกับจวนจ่างกงจู่ก็เช่นนี้
ผิงเจียงป๋ออายุใกล้จะห้าสิบแล้ว บรรดาศักดิ์ติดตัวกับคฤหาสน์ล้วนตกทอดมาจากบรรพบุรุษ ทว่าครั้นมาถึงรุ่นของเขาทุกอย่างก็ตกต่ำหมดสิ้น หากเขาตายไปบรรดาศักดิ์อะไรทั้งหลายก็ไม่มีอีกต่อไป ผิงเจียงป๋อพรสวรรค์ไม่สูง แต่ก็ขยันขันแข็งพอตัวอยู่ นับตั้งแต่เล็กทุ่มเทตั้งอกตั้งใจเล่าเรียน สอบชุนเหวยอยู่สามครั้งกว่าจะผ่านขึ้นไปถึงระดับจิ้นซื่อ ต่อมาก็ตั้งอกตั้งใจทำงาน ก่อนจะได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็นขุนนางขั้นสี่ในวัยนี้
ฤดูใบไม้ร่วงอากาศเย็นสบาย ผิงเจียงป๋อเตรียมพาบุตรชายทั้งสองไปขี่ม้าที่นอกเมืองเพื่อยืดเส้นยืดสาย
กว่าเขาจะตื่นพระอาทิตย์ก็ขึ้นสูงสามลำไผ่แล้ว หลังกินอาหารเก็บของเสร็จพวกเขาจึงออกเดินทาง
สามพ่อลูกเพิ่งย่างเท้าออกจากบ้านได้ไม่ทันไร หางตาก็ชำเลืองเห็นรถม้าจากในตรอกกำลังแล่นตรงมาทางนี้ พวกเขาสามคนต่างผินหน้ามองไป ที่เห็นก่อนเป็นลำดับแรกคือเฉินจิ้งจงราชบุตรเขยที่ควบม้าตามรถม้าของจ่างกงจู่อยู่อีกด้านหนึ่ง
สำหรับเฉินจิ้งจงนั้นพวกเขาคุ้นตาอยู่นานแล้ว หน้าตาของอีกฝ่ายถึงจะหล่อเหลาแต่ก็เท่านั้น ที่ทำให้พวกเขาตกตะลึงแกมอิจฉาคือม้าชั้นดีสีดำน่าเกรงขามที่เฉินจิ้งจงขี่อยู่ตัวนั้นต่างหาก
“ท่านป๋อจะออกไปข้างนอกหรือ”
ครั้นเข้าไปใกล้ เฉินจิ้งจงก็เอ่ยปากทักทายอีกฝ่ายจากบนหลังม้า ยิ้มเผยให้เห็นฟันขาวเป็นแนว
กล้ามเนื้อบริเวณหางตาของผิงเจียงป๋อกระตุก เจ้าเด็กบ้านี่ ขนาดจิ้งจอกเฒ่าอย่างเฉินถิงเจี้ยนเป็นขุนนางมาสามสิบปียังไม่เคยเอ่ยวาจาทักทายเขาเช่นนี้ แล้วเหตุใดลูกที่เกิดมาถึงมีนิสัยเช่นนี้ได้
“ใช่แล้ว ราชบุตรเขยกับจ่างกงจู่จะไปที่ใดหรือ”
ในใจนึกริษยาแทบแย่ แต่ผิงเจียงป๋อก็ยังคงยิ้มนอบน้อมยิ่งยวด
เฉินจิ้งจงมองไปยังหน้าต่างรถม้าก่อนจะพูดออกมาช้าๆ “ข้าว่าจะกลับไปนั่งเล่นที่จวนสกุลเฉินสักหน่อย”
ผิงเจียงป๋อหัวเราะพลางพยักหน้า รอยยิ้มยังคงแขวนค้างอยู่บนใบหน้าจนกระทั่งรถม้าของจ่างกงจู่เคลื่อนจากไปไกล
บุตรชายคนโตของเขายามนี้กล้าเอ่ยปากแล้ว “ท่านพ่อ ราชบุตรเขยมีม้าดีเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร ก่อนหน้านี้ข้าเห็นเขาขี่แต่ม้าดำธรรมดาๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น”
ผิงเจียงป๋อพูดด้วยความอิจฉา “เมื่อวานราชทูตต๋าต๋าถวายม้า ฝ่าบาทพระราชทานให้จ่างกงจู่ตัวหนึ่ง”
บุตรชายคนรองของเขาเอ่ยว่า “หลังจากนั้นจ่างกงจู่ก็มอบมันให้กับราชบุตรเขย? จะดีจะชั่วอย่างไรนั่นก็เป็นของพระราชทาน จ่างกงจู่ไม่กลัวฮ่องเต้จะเอาเรื่องอย่างนั้นหรือ”
ผิงเจียงป๋อเอ่ยต่อ “เจ้าจะไปรู้อะไร ตอนนั้นจ่างกงจู่บอกว่านางไม่มีทางใช้ม้าชั้นดีเช่นนี้ ฝ่าบาทบอกนางว่าเอาไปให้ผู้กล้าคนอื่นก็ได้ จ่างกงจู่ทำเช่นนี้เห็นอยู่ชัดๆ ว่าขอพระราชทานม้าแทนราชบุตรเขย”
บุตรชายทั้งสองของเขามองหน้ากันไปมา รู้สึกอิจฉาที่เฉินจิ้งจงมีบิดาดีเช่นนั้น หากตาเฒ่าของบ้านพวกเขามีความสามารถเหมือนเฉินเก๋อเหล่า ไม่แน่ว่าบุรุษที่เป็นที่โปรดปรานขององค์หญิงอาจเป็นพวกเขา!
จากจวนจ่างกงจู่มาถึงจวนสกุลเฉิน ตลอดทางล้วนผ่านคฤหาสน์ของเหล่าขุนนางผู้สูงศักดิ์ ยามพบเจอกับเฉินจิ้งจงทุกคนล้วนเอ่ยปากทักทายโอภาปราศรัยกับเขาอยู่สองสามประโยค
หวาหยางถึงจะนั่งอยู่ในรถม้า แต่ก็พอจะนึกภาพถึงท่าทีได้อกได้ใจของเฉินจิ้งจงออก
ไม่ต้องพูดถึงอื่นใด วันหยุดก่อนหน้านี้นางไปที่ใดเฉินจิ้งจงล้วนนั่งรถม้าร่วมกับนาง แต่วันนี้กลับยืนกรานจะขี่ม้าให้ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะต้องการอวดโอ้แล้วยังจะมีเหตุผลอื่นใดอีกเล่า
เพียงแต่หวาหยางเองก็ไม่มั่นใจว่าที่เขาต้องการอวดคือม้า หรือต้องการอวดว่านาง ‘เอ็นดู’ เขากันแน่
หลังจากนั้นไม่นานพวกนางก็มาถึงจวนสกุลเฉิน