ครั้นมาถึงจวนสกุลเฉิน หวาหยางก็ไปเรือนชุนเหอถังพบแม่สามีรวมถึงพ่อสามีที่หยุดงานอยู่บ้านก่อนเป็นอันดับแรก
“ตอนอยู่ในวังข้าได้เห็นหนังสือที่ท่านพ่อมอบให้กับน้องชายแล้ว เขาชอบมาก ขอบคุณท่านพ่อที่ลำบากเอาใจใส่”
หลังจากนั่งลง หวาหยางก็ยิ้มพูดกับพ่อสามี
เฉินถิงเจี้ยนเอ่ยปากถ่อมตน “กระหม่อมเพียงเขียนมันขึ้นมาตอนอยู่ว่างๆ เท่านั้น น่าขายหน้ายิ่งนัก”
ซุนซื่อรู้เรื่องหนังสือเล่มนั้น พอเห็นว่าผู้เป็นบุตรชายไม่เข้าใจ นางก็อธิบายให้เขาฟังสั้นๆ
เฉินจิ้งจงไม่นึกอิจฉาองค์รัชทายาทตัวน้อยที่อยู่ในวังนั่นแม้แต่น้อย ใครเป็นศิษย์ตาเฒ่าคนนั้นถึงคราวเคราะห์เห็นๆ หนังสือเล่มนั้นไม่ว่าจะดีเลิศสักเพียงใด ก็เป็นเพียงความหวานช่วงต้นเท่านั้น อีกไม่นานก็จะถูกใบหน้าเย็นชาราวกับน้ำแข็งและวาจาเยี่ยงยาพิษของตาเฒ่าทำให้รันทดยิ่งยวด
หลังจากนั่งอยู่ที่เรือนชุนเหอถังอยู่ครู่หนึ่ง หวาหยางกับเฉินจิ้งจงสองสามีภรรยาก็กลับไปที่เรือนซื่ออี๋ถัง
“องค์หญิง! ในที่สุดพระองค์ก็เสด็จกลับมาแล้ว!”
เฉาลู่กับเฉาหลานชะเง้อชะแง้คอมองอยู่นอกเรือนซื่ออี๋ถังนานแล้ว ยามนี้ในที่สุดก็ได้เห็นเงาร่างขององค์หญิง สาวใช้ทั้งสองวิ่งอย่างตื่นเต้นเข้ามา เฉาลู่น้ำตาเอ่อคลอ นางยิ้มพลางปาดเช็ดน้ำตา
เฉินจิ้งจงยืนมองอยู่ข้างๆ ด้วยสายตาเย็นชา พอนึกถึงตอนที่สาวใช้สองคนเห็นเขาเข้า ต่างก็ทำตัวราวกับระวังขโมยอย่างไรอย่างนั้น ท่าทีราวกับพวกคุณหนูตระกูลขุนนางทั้งหลาย
เขาเดินเข้าไปในห้องก่อน ทิ้งพวกนางนายบ่าวพูดคุยระลึกความหลังกัน
หวาหยางเองก็คิดถึงสาวใช้สองคนนี้ของตนเช่นกัน สาวใช้ที่ชื่อขึ้นต้นด้วยคำว่าเฉาทั้งสี่นี้เติบใหญ่มาพร้อมกับนาง ตอนเล็กๆ เป็นเพื่อนเล่น พอโตขึ้นมาถึงได้เป็นผู้ช่วยคนสำคัญ
พวกนางพูดคุยสนุกสนานกันอยู่ที่โถงกลาง คล้ายนกกระจอกสี่ตัวห้อมล้อมอยู่รอบๆ หงส์ทองตัวหนึ่ง เฉินจิ้งจงรอแล้วรออีกอยู่ที่ห้องด้านใน ทันใดนั้นเขาก็เรียกเฉาอวิ๋นเข้าไป
เพียงชั่วระยะเวลาสองสามประโยค เฉาอวิ๋นก็เดินออกมา ใบหน้าแดงก่ำ
พอหวาหยางกับเฉาเยวี่ยเห็นก็เดาได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เฉาลู่ไม่เข้าใจจึงกระซิบถาม “ราชบุตรเขยให้เจ้าทำอะไร”
เฉาอวิ๋นชำเลืองมององค์หญิงแล้วส่ายหน้า ก่อนจะตรงไปยังห้องเก็บของ
หีบบรรจุสัมภาระขององค์หญิงที่เอากลับมาจากหลิงโจวถูกส่งมายังจวนสกุลเฉินพร้อมกับข้าวของของคนอื่นๆ นานแล้ว เฉาลู่และเฉาหลานจัดการกับข้าวของที่องค์หญิงใช้เป็นประจำเรียบร้อย ส่วนของอื่นๆ ล้วนทิ้งไว้ในห้องเก็บของ รอจนกระทั่งองค์หญิงต้องการใช้สิ่งใด พวกนางค่อยไปเอามา
เพียงไม่นานเฉาอวิ๋นก็หากล่องเล็กๆ ที่ถูกผนึกไว้ว่าห้ามเปิดออกโดยพลการพบ นางเปิดมันออก ด้านในคืออ่างดอกบัวที่คุ้นตาเสียยิ่งกว่าคุ้น ที่อยู่ด้านล่างคือกล่องไม้บรรจุสิ่งของที่เอาไว้ใช้เฉพาะกาลนั่น
หลังจากมั่นใจว่าไม่มีใครแตะต้องของสิ่งนั้นมาก่อน เฉาอวิ๋นก็อุ้มกล่องทั้งกล่องไปที่ห้องประธาน ก่อนจะเข้าไปในห้องนอน หยิบมันออกมาอันหนึ่งแล้วแช่ลงไปในน้ำอย่างคุ้นชิน
ยามกลางวันองค์หญิงกับราชบุตรเขยพักผ่อนอยู่ด้วยกัน เฉาอวิ๋นกับเฉาเยวี่ยถึงมีโอกาสบอกเล่าชีวิตความเป็นอยู่ขององค์หญิงที่หลิงโจวให้เฉาลู่กับเฉาหลานฟัง ที่สำคัญคือความสัมพันธ์ที่ก้าวหน้าขึ้นระหว่างองค์หญิงกับราชบุตรเขย
เฉาลู่สองตาเบิกกว้าง เฉาหลานปากอ้าค้าง
“พูดเช่นนี้ก็หมายความว่าองค์หญิงกับราชบุตรเขยรักกันแล้ว?”
เฉาอวิ๋นชะงักไปครู่หนึ่ง “ดูเหมือนจะยังไม่ถึงขั้นนั้น เวลาองค์หญิงรังเกียจราชบุตรเขยก็เหมือนจะยังรังเกียจอยู่ไม่ใช่น้อย ใช่หรือไม่” นางมองอย่างขอคำยืนยันไปทางเฉาเยวี่ย
เฉาเยวี่ยพยักหน้า “ใช่ ตอนกลางวันก็ยังมีทะเลาะกันอยู่ เพียงแต่ตอนกลางคืน…” จู่ๆ นางก็รู้สึกขัดเขินไม่กล้าเอ่ยต่อ
เฉาลู่กับเฉาหลานยังคงนึกอยากฟังต่อ พอเห็นอีกฝ่ายพูดได้เพียงครึ่งก็หยุดเอาเสียดื้อๆ เช่นนั้นก็พากันขนาบข้างแล้วเขย่าตัวพวกนางทันที
เฉาเยวี่ยให้เฉาอวิ๋นเล่า เฉาอวิ๋นหน้าแดงไม่ต่างอะไรกับก้นลิง ขวยเขินเกินกว่าจะพูดออกมา
“เอาล่ะๆ คืนนี้เฉาลู่อยู่เวรค่ำ พรุ่งนี้ค่อยเปลี่ยนให้เฉาหลานเฝ้า พวกเจ้าเฝ้าดูสักคืน ถึงตอนนั้นไม่ว่าเรื่องอะไรก็จะรู้ได้เอง”