บริเวณริมฝั่งปลูกต้นหลิวกับต้นท้อเอาไว้ คาดว่าเมื่ออากาศอบอุ่นมาเยือน ภาพของดอกท้อแดงคู่ใบหลิวเขียวจะต้องเป็นทัศนียภาพที่ดีมากแน่นอน
สวีเมี่ยวหนิงชี้ไปยังสระน้ำ “เมื่อฤดูร้อนมาถึง ภายในสระจะเต็มไปด้วยใบบัว ดอกบัวบาน งดงามยิ่งนัก! พี่สาว ถึงเวลานั้นพวกเรามาชมดอกบัวด้วยกันดีหรือไม่เจ้าคะ”
เจี่ยนเหยียนย่อมตอบรับว่า “ดีสิ”
สวีเมี่ยวหนิงมีความสุขอย่างมาก
เจี่ยนเหยียนเห็นสวีเมี่ยวหนิงมีความสุขเช่นนี้ ในใจก็คิดไปว่าเด็กคนนี้ทำตัวเหมือนคนไม่มีญาติพี่น้อง ตอนนี้พอมาเจอสหายที่เล่นด้วยได้ถึงมีความสุขมากเพียงนี้อย่างไรอย่างนั้น ดังนั้นนางจึงลองถามเกี่ยวกับพี่น้องของสวีเมี่ยวหนิงดู และเมื่อถามดูจึงได้รู้ว่านางมีพี่ชายสามคน พี่สาวสองคน น้องชายหนึ่งคน และน้องสาวอีกหนึ่งคน
แน่นอนว่าน้องชายบิดามารดาเดียวกันมีเพียงสวีจ้งอันเท่านั้น คนอื่นๆ ล้วนเป็นพี่น้องคนละพ่อคนละแม่ทั้งสิ้น ส่วน ‘น้องหญิงสี่’ ที่สวีเมี่ยวหนิงเคยเอ่ยถึงผู้นั้นมีนามว่า ‘สวีเมี่ยวจิ่น’ เป็นลูกของบ้านใหญ่ ตอนนี้ก็อายุสิบปีเช่นกัน อายุน้อยกว่าสวีเมี่ยวหนิงแค่สองเดือนเท่านั้น แม้ปกติทั้งสองคนจะเล่นด้วยกันได้ แต่น่าเสียดายที่น้องหญิงสี่สุขภาพอ่อนแอตั้งแต่เกิด จึงไม่ค่อยได้ออกมาเล่นข้างนอกมากสักเท่าไร
ขณะที่พี่สาวสองคนล้วนเป็นลูกของบ้านรอง คนหนึ่งเกิดจากภรรยาเอก นามว่า ‘สวีเมี่ยวหวา’ อีกคนเกิดจากอนุภรรยา นามว่า ‘สวีเมี่ยวหลัน’ ทว่าพี่สาวคนโตมีนิสัยเย่อหยิ่งมาก ดูถูกเด็กไม่มีบิดาอย่างนาง ปกติจึงไม่ค่อยจะเล่นกับนางเท่าไร ส่วนพี่สาวคนรองก็เหนียมอายยิ่ง ถามออกไปสามประโยคนางอาจไม่ตอบกลับมาสักประโยค อยู่ด้วยกันก็เล่นไม่สนุก ยังมีญาติผู้พี่อีกคน นามว่า ‘อู๋จิ้งเซวียน’ เป็นหลานสาวทางบ้านสกุลเดิมของท่านย่า แต่ปกติแล้วพี่เซวียนผู้นี้จะสนิทแต่กับพี่หญิงใหญ่และน้องหญิงสี่ ไม่ค่อยมาเล่นกับนางเท่าไร ถุงพกที่ปักก็มอบให้แต่น้องหญิงสี่ไม่มีให้นาง ส่วนบรรดาพี่ชายน้องชาย พวกเขาล้วนต้องไปเรียนหนังสือ ไม่มีเวลามาเล่นเป็นเพื่อนนาง
สวีเมี่ยวหนิงยิ่งเล่ายิ่งรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ราวกับหลายปีมานี้ตนเองอยู่ตามลำพังมาโดยตลอด แต่สุดท้ายนางก็ได้มีความสุขขึ้นมาเสียที จึงกอดแขนเจี่ยนเหยียนพลางยิ้มเอ่ย “พี่สาว ข้ารู้สึกชอบท่านตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นท่านแล้ว หลังจากนี้พวกเรามาเล่นด้วยกันนะเจ้าคะ!”
เจี่ยนเหยียนหัวเราะไปกับคำพูดของสวีเมี่ยวหนิง ก่อนยกมือขึ้นลูบศีรษะนางเบาๆ ยิ้มรับปาก “ได้สิ หลังจากนี้เมื่อใดที่เจ้ารู้สึกเบื่อหน่ายก็มาหาข้าได้เสมอ”
ทั้งสองคนเดินเลาะริมฝั่งไปพลางพูดคุยกันไป สวีเมี่ยวหนิงชี้ไปยังเรือนเล็กสองเรือนที่ฝั่งตรงข้าม “ผู้ที่พักอยู่ในเรือนถังหลีคือพี่เซวียน ส่วนในเรือนจิ้งอี๋คือพี่หญิงรองของข้า” จากนั้นก็ยื่นมือชี้ไปทางด้านหน้าของตนเอง แล้วชี้ไปที่ด้านหลังต่อ “ตรงนั้นคือเรือนอีหลันซึ่งพี่หญิงใหญ่ของข้าพักอยู่ อยู่ไม่ห่างจากเรือนเหอเซียงของพวกเรานัก ส่วนน้องหญิงสี่ข้าพักอยู่ในเรือนหนิงชุ่ยทางด้านข้างป่าเหมยเจ้าค่ะ”
ครั้นเมื่อเจี่ยนเหยียนมองดู…ยอดเยี่ยม ยามนี้พวกข้าอยู่ห่างจากเรือนหนิงชุ่ยไม่ไกลแล้ว ยืนอยู่ตรงนี้ยังมองเห็นประตูเรือนได้ คาดว่าเด็กหญิงผู้นี้น่าจะมีความคิดจะนำถุงพกทั้งสองใบไปโอ้อวดให้น้องหญิงสี่ของนางดูอยู่
ไม่ผิดจากที่คาด ชั่วขณะต่อมาเจี่ยนเหยียนก็ได้ยินสวีเมี่ยวหนิงเอ่ยขึ้นยิ้มๆ ว่า “พี่สาว พวกเราเดินมานานเพียงนี้ก็เหนื่อยแล้ว มิสู้ไปนั่งพักที่เรือนน้องหญิงสี่กันดีหรือไม่”
เจี่ยนเหยียนนั้นอย่างไรก็ได้ ในเมื่อนางมาถึงสกุลสวีแล้ว ไม่ช้าไม่เร็วนางย่อมได้เจอกับสมาชิกทุกคนในครอบครัวนี้แน่ มิสู้ทำความรู้จักไปทีละคนตั้งแต่ตอนนี้เสียเลย อย่างไรก็มีสวีเมี่ยวหนิงอยู่ เด็กหญิงผู้นี้มีไหวพริบ มีอีกฝ่ายคอยแทรกอยู่ตรงกลาง ไม่แน่ว่าไม่นานนางกับสวีเมี่ยวจิ่นอาจสนิทสนมกันแล้วก็เป็นได้ จะได้ไม่ต้องลำบากหากภายหลังไปพบสวีเมี่ยวจิ่นตามลำพังแล้วไม่รู้ว่าควรจะตีสนิทอย่างไรดี
ดังนั้นเจี่ยนเหยียนจึงเดินไปทางเรือนหนิงชุ่ยด้วยกันกับสวีเมี่ยวหนิง
ทว่ายังไม่ทันเดินไปถึงก็ได้ยินเสียงเอี๊ยดดังขึ้นกะทันหัน ประตูเรือนสองบานพับที่ปิดสนิทถูกเปิดออกจากด้านใน มีชายหญิงคู่หนึ่งเดินนำออกมาก่อน
เมื่อเจี่ยนเหยียนช้อนสายตาขึ้นมองก็ได้เห็นว่าบุรุษผู้นั้นอายุประมาณยี่สิบสี่ยี่สิบห้าปี สวมชุดสีเทาอ่อน บริเวณปกเสื้อกับชายแขนกุ๊นด้วยผ้าสีคราม รูปร่างผอมเพรียว รูปโฉมหล่อเหลา ส่วนเด็กสาวผู้นั้นอายุราวสิบหกสิบเจ็ดปี สวมเสื้อสีงาช้าง กระโปรงสีฟ้าอ่อน คลุมทับด้วยเสื้อกันลมสีแดงลายก้านดอกบัว ดูงามสง่าอย่างมาก
ช่างเป็นคู่สร้างคู่สมกันจริงๆ เจี่ยนเหยียนนึกชื่นชมอยู่ในใจ ก่อนปลายหางตาจะเหลือบไปเห็นว่าสวีเมี่ยวหนิงที่ร่าเริงมาตลอดทางกลับเก็บรอยยิ้มบนใบหน้าลงไปจนหมด ยืนประสานมือเรียบร้อยอยู่ตรงนั้น พร้อมทั้งเอ่ยเรียกเสียงเบาออกไปว่า “พี่ใหญ่”
ดังนั้นเจี่ยนเหยียนจึงได้รู้ว่าบุรุษที่อยู่ตรงหน้าก็คือคุณชายใหญ่สกุลสวี ‘สวีจ้งเซวียน’
นางรู้มาตั้งแต่ตอนอยู่บ้านเดิมแล้วว่าสวีจ้งเซวียนเป็นบุคคลสำคัญในกลุ่มคนรุ่นหลังของสกุลสวี ตอนนี้ได้นั่งอยู่ในตำแหน่งรองเสนาบดีฝ่ายซ้ายกรมพิธีการ ขุนนางลำดับหลักขั้นสามแล้ว เพียงแต่นางไม่เคยนึกมาก่อนว่าเขาจะอายุน้อยเพียงนี้
ด้วยความประหลาดใจนางจึงมองสวีจ้งเซวียนนานขึ้น นึกไม่ถึงว่าเขาจะหันมามองนางกับสวีเมี่ยวหนิงพอดี ทั้งสองคนจึงสบตากันเข้าเต็มๆ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 3 มี.ค. 65 เวลา 12.00 น.