มู่ไคเวยไม่ตอบแต่กลับย้อนถาม “ท่านซานรู้จักมารดาข้าหรือไม่”
น้ำเสียงของนางเป็นปกติ แต่กลับทำให้คนถูกถามมีท่าทีใจลอย เขานิ่งไปพักใหญ่ก่อนตอบ
“มารดาของหัวหน้ามู่ จอมยุทธ์หญิงแซ่ลิ่นเป็นผู้มีเกียรติ มีศักดิ์ศรีอย่างยิ่ง ชาวยุทธ์ทุกคนย่อมต้องเคยได้ยินเรื่องราวของนาง แล้วจะมีผู้ใดบ้างที่ไม่รู้จัก”
มู่ไคเวยถามอีก “มารดาข้าประสบเหตุร้ายจนเสียชีวิตเมื่อสิบเจ็ดปีก่อน ตอนนั้นข้าเพิ่งอายุเต็มแปดขวบ นายท่านซานเองจะอายุสักกี่ขวบกันเชียว น่าจะยังเด็กอยู่ใช่หรือไม่ แสดงว่าท่านมาได้ยินเรื่องในยุทธภพของมารดาข้าในภายหลังหรือ”
“เอ่อ ข้า…ข้าเด็กขนาดนั้นเสียเมื่อไรเล่า เอาอะไรมาตัดสินว่าข้ายังเด็กอยู่ ข้าแก่มากนะ แก่กว่าเจ้าด้วย!” ดูเอาเถอะว่าเขาตอบอะไรไป โอย ไม่มีความสุขุมเสียเลย
เป็นเพราะเขาถอดหน้ากากออกไปแล้ว แต่นางกลับไล่ตามมาอย่างไม่คาดฝัน ซ้ำยังถามถึงเรื่องในอดีตเลยทำให้เขารู้สึกลนลานใช่หรือไม่
“หัวหน้ามู่สอบปากคำข้าเหมือนเป็นคนร้ายเช่นนี้ ข้าไม่สบายใจเลย” เขาแสร้งกระแอมให้คอโล่งสองครั้งแล้วหัวเราะหึๆ “ท่านเดินอยู่บนเส้นทางแห่งแสงตะวัน ส่วนข้าเดินอยู่บนสะพานไม้เดียวดาย เราทั้งสองต่างคนต่างเดิน ไม่ล่วงเกินกัน ขอลา!” ชิงหนีก่อนย่อมได้เปรียบ!
“คอยก่อน” มู่ไคเวยเห็นชายหนุ่มกำลังจะลับหายไปในความมืดจึงไล่ตามไป นางพยายามทุ่มสุดตัว แต่ในป่ามีร่มไม้รกครึ้มมากมาย และวิชาตัวเบาของเฮยซานก็เหนือชั้น ทำให้เขาหายวับไปในไม่กี่อึดใจเท่านั้น ทิ้งให้มู่ไคเวยอยู่กับกลิ่นที่จางลงไปเรื่อยๆ
พิจารณาจากบทสนทนากับเขาเมื่อครู่ เฮยซานบอกว่า ‘ข้าอยู่เมืองหลวงจนคุ้นแล้วจึงไม่มีความคิดจะย้ายรัง’
เขาจะต้องกลับเข้าไปในเมืองแน่ๆ
คิดได้ดังนั้น มู่ไคเวยจึงโคจรพลังเพื่อเร่งกลับไปที่ตัวเมืองพร้อมเสาะหากลิ่นที่จางลงจนเกือบไม่มี
พอเข้าเมืองแล้ว กลิ่นกลับยิ่งน้อยลงไปอีก เพราะในช่วงห้ามออกจากบ้านมีหิมะตกปรอยๆ มู่ไคเวยวิ่งพล่านไปทั่วทุกหนแห่งเพื่อเสาะหากลิ่นนั้น ก่อนหน้าที่กลิ่นเย็นฉุนจะจางหายไป นางก็ได้มายืนอยู่ที่นอกกำแพงสูงของเรือนด้านหลังของคฤหาสน์หลังหนึ่ง
เนื่องจากปราศจากหลักฐาน มู่ไคเวยจึงต้องเลาะเลียบกำแพงสูงไปยังด้านหน้าเรือนพักแล้วเงยหน้าขึ้นมองป้ายที่แขวนอยู่เหนือประตูซึ่งสลักด้วยตัวอักษรลี่ซู* ซึ่งดูหนักแน่นมั่นคง
‘จวนคังอ๋อง’