“คิก ได้ยินไทเฮาเล่าว่าคังอ๋องอ่านหนังสือมากถึงห้าคันรถ โดยเฉพาะเรื่องตำนานในพระพุทธศาสนา จนสามารถถกกับพระภิกษุชั้นสูงได้ติดกันสามวันสามคืนโดยไม่หยุดพัก ทำให้ไทเฮาต้องทรงบ่นเพราะกลัวว่าคังอ๋องจะมีใจใฝ่พระธรรมจนไม่อาจถอนตัวและต้องปลงผมออกบวชเพื่อละทางโลกในสักวัน แต่ดูจากตอนนี้ที่ท่านอ๋องรักถนอมเจ้าสาวแล้ว เห็นได้ชัดว่าท่านยังละทางโลกไม่ได้ ไทเฮาคงวางพระทัยได้เสียที” ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกไป บรรยากาศภายในห้องก็ดีขึ้นทันตา
แต่มู่ไคเวยฟังออกว่าผู้พูดมีเจตนาประชดประชันอย่างแนบเนียน เพียงแต่เวลานี้นางเป็นคนใหม่ที่เพิ่งมาถึง สิ่งใดทนได้ก็ต้องทนไว้ก่อน และนางยังทนได้จึงไม่มีปัญหา
แขกสตรีที่เป็นสาวน้อยอีกคนโบกผ้าเช็ดหน้าหอมกรุ่นพลางกล่าว “ไทเฮาทรงลำเอียงนัก ทั้งที่มีพระราชนัดดาตั้งมากมาย แต่มีผู้ใดบ้างที่ได้รับความโปรดปรานเหมือนอย่างคังอ๋อง เรื่องเช่นนี้ ไม่รู้ว่าต้องสร้างบุญกุศลสักกี่ชาติถึงจะได้ เท่าที่ข้าเห็น ขนาดรัชทายาทแห่งวังตะวันออกยังไม่มีบุญถึงเพียงนี้ พวกเจ้าว่าเช่นนี้น่าอิจฉาหรือไม่เล่า”
ช้าก่อน พูดจาเช่นนี้ทำให้สตรีผู้เป็นอสุราหน้าหยกแห่งเมืองหลวงเริ่มรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาแล้ว
อ้อ ที่แท้คนพูดก็เป็นคนขององค์ชายห้าหลีอ๋อง
มู่ไคเวยมองอีกฝ่ายด้วยแววตานิ่งสงบ แต่จดวีรกรรมของแขกสตรีหน้าตาอ่อนเยาว์คนที่พูดประโยคนี้เอาไว้ในใจแล้ว
คังอ๋องฟู่จิ่นซีต้องสูญเสียบิดามารดาไปตอนอายุแปดขวบและมีสุขภาพร่างกายอ่อนแอมาโดยตลอด ทำให้ได้รับพระกรุณาจากไทเฮา ทว่าสิ่งเหล่านี้จะเรียกได้ว่าเป็นบุญกุศลที่เขาทำมาเป็นเวลาหลายชาติได้หรือ ชายหนุ่มจึงรับฟังโดยไม่ได้โต้แย้ง เพราะต่อให้แย้งไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น และเขายังติดค้างบุญคุณของไทเฮาอีกด้วย
โชคดีที่แขกคนสำคัญไม่ได้มีเจตนาร้ายกันทุกคน จึงมีสองสามคนที่ย่นหัวคิ้วนิ่งๆ และมีหลายคนที่ไม่ยอมตอบรับ ทำให้ชายาหลีอ๋องวางหน้าไม่ถูกจึงพูดเสียงสูงขึ้นอีก
“อะไรกัน ข้าพูดผิดไปหรือ คังอ๋องเป็นผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ ต่อให้ใครอยากจะเหมือนเขาก็ไม่มีทางเหมือนได้ พระชายาคังอ๋องเองก็มีบุญมากเหมือนกัน เพราะได้รับพระราชทานสมรสมาที่จวนคังอ๋องแทนที่จะเป็นที่อื่น อีกทั้งแต่งเข้ามาก็ได้เป็นชายาเอกทันที ทั้งยังไม่มีพ่อแม่สามีให้ต้องคอยปรนนิบัติ สามีก็นิสัยดีถึงเพียงนี้ เช่นนี้จะไม่เรียกว่ามีบุญได้หรือ”