ผีผางุนงง “แต่คุณหนู ท่านเป็นพระชายาจิ้นอ๋องตัวจริงนะเจ้าคะ ในเมืองหล่ง นอกจากท่านอ๋องแล้ว ท่านเป็นใหญ่ที่สุด เหตุใดต้องหดหางด้วยเล่า”
เนี่ยชิงหลวนแหงนหน้ามองฟ้า อารมณ์ความรู้สึกจมดิ่งหนักอึ้งเสียยิ่งกว่าไปเคารพคนตายที่สุสานเสียอีก
แค่จั่วหลิงคนเดียวก็หนักหนาสาหัสพอดูแล้ว ไม่ต้องคิดถึงเจียงปั้นซย่าผู้มีชื่อเสียงโดดเด่นในเมืองหล่ง ที่สำคัญก็คือหากอาศัยสัมผัสที่หกของสตรีแล้ว นางรับรู้ได้ว่าความรู้สึกไม่เป็นมิตรของเจียงปั้นซย่าที่มีต่อนางนั้นมีไม่น้อยเลยทีเดียว
วันถัดมาเนี่ยชิงหลวนที่หดหางอย่างเจียมเนื้อเจียมตัวก็สวมเสื้อผ้าชุดใหม่ที่เพิ่งซื้อ ออกจากจวนอ๋องพร้อมผีผา
เหตุผลที่นางออกนอกจวนอ๋องนั้นเรียบง่ายมาก จั่วหลิงยกห้องนอนของเขาให้นางแล้ว นางย่อมต้องตกแต่งห้องหับเสียใหม่ตามความชื่นชอบของตน
หลังจากหยิบจับข้าวของในหีบสินเดิมออกมาดู จึงพบว่านางยังไม่มีมุ้งกันยุง
ไม่ต้องพูดถึงยุง บัดนี้กระทั่งสุนัขในเมืองหล่งก็ยังยากจะรอดชีวิต แต่เนี่ยชิงหลวนเป็นคนระแวดระวังภัยอยู่เสมอ หลังมาถึงเมืองหล่ง นางยิ่งต้องการมุ้งสักหลังเป็นอย่างมาก
ยามหลับใหล หากได้มุ้งมาครอบ ก็ถือเป็นการคุ้มกันตัวนางจากโลกภายนอกได้อย่างแน่นหนา ช่วยให้รู้สึกสบายใจได้เปลาะหนึ่ง แม้จะเป็นการหลอกตนเองก็ตามที
หลังเนี่ยชิงหลวนเลือกมุ้งปักลวดลายนกแมลงและดอกไม้สีเขียวต้นหอมได้แล้ว ก็หนีบถุงเคลือบน้ำมันออกไปเดินเล่นตามท้องถนนกับผีผา
เมืองหล่งตั้งอยู่ในดินแดนพายัพ ลมเหมันต์พัดถี่ อากาศฟุ้งไปด้วยฝุ่นทราย ดังนั้นเมื่อเนี่ยชิงหลวนกับผีผาออกไปเดินข้างนอกจึงนำผ้ามาโพกปิดใบหน้าไว้อย่างแน่นหนา
เดินเล่นได้สักพักก็ถึงเวลากินอาหาร พวกนางตั้งใจว่าจะไม่กลับไปกินอาหารที่เค็มจัดที่จวน สองนายบ่าวจึงพร้อมใจพากันไปลิ้มลองอาหารแปลกใหม่นอกจวนดูบ้าง
ตอนที่ผีผาออกมาหาซื้อเสื้อผ้าข้างนอกเมื่อวานก็ได้เดินสำรวจดูบ้างแล้ว ถึงตอนนี้จึงเดินนำเนี่ยชิงหลวน สีหน้าราวกับจะบอกว่าดูสิข้าเป็นคนช่างสังเกตเพียงใด ซ้ำยังแสดงท่าทางภาคภูมิใจรอให้ชมพลางบอกว่านางเดินสำรวจมาแล้ว ที่นี่คือโรงเตี๊ยมชั้นเลิศของเมืองหล่ง
สองนายบ่าวย่างเท้าก้าวเข้าไปในโรงเตี๊ยม ดึงผ้าปิดหน้าออก ยกมือกวักเรียกเด็กรับใช้แล้วเริ่มสั่งอาหาร
เวลานี้เอง ณ มุมลับตาแห่งหนึ่งที่ชั้นบน จ้าวเสี่ยวเป่ยมองดูพวกนางแล้วหันไปพูดกับคนที่อยู่ข้างๆ “ท่านแม่ทัพ ข้าว่าพวกนางคงจะทนกินอาหารของเจิ้งปั๋วไม่ไหวเหมือนกัน จึงได้แล่นมาหาของกินแปลกใหม่ถึงที่โรงเตี๊ยมนี่”