บทที่ 14
คนที่นั่งอยู่ข้างๆ จ้าวเสี่ยวเป่ยย่อมต้องเป็นจั่วหลิง
แต่ในเมื่อจ้าวเสี่ยวเป่ยใช้คำว่า ‘เหมือนกัน’ นั่นย่อมบ่งบอกว่าเขาทั้งสองก็กินอาหารของเจิ้งปั๋วไม่ลงเช่นกัน ต้องแล่นมาหาของกินที่โรงเตี๊ยมนี้
นี่มิใช่ครั้งแรกที่ทั้งสองมากินอาหารที่นี่ พูดเจาะจงลงไปก็คือทุกสี่ห้าวันจะต้องออกมาหาของกินข้างนอก
จ้าวเสี่ยวเป่ยเป็นบุตรชายแม่นมของจั่วหลิง ถ้าจะว่าไปแล้ว ดื่มจากเต้าเดียวกันย่อมมีสายสัมพันธ์พี่น้อง จะมองทางใดจ้าวเสี่ยวเป่ยก็นับเป็นน้องชายของจั่วหลิง ดังนั้นจั่วหลิงจึงปฏิบัติกับเขาค่อนข้างอ่อนโยน
พอจั่วหลิงได้ยินการคาดเดาของจ้าวเสี่ยวเป่ยแล้วก็ไม่พูดอะไร เพียงหันออกไปมองนอกหน้าต่างดังเดิมด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
อันที่จริงนอกหน้าต่างก็ไม่มีอะไรที่น่ามอง มีแต่ภาพหิมะปกคลุมพื้นดินจนขาวโพลนไปหมด
จ้าวเสี่ยวเป่ยชินเสียแล้วกับสีหน้าเฉยชาไร้อารมณ์เช่นนี้จึงไม่ได้สนใจ ยังคงลอบสังเกตการณ์เนี่ยชิงหลวนกับผีผาที่ชั้นล่างต่อไป
มุมที่เขากับจั่วหลิงเลือกมีทำเลที่ดีมาก สามารถกวาดตามองเห็นได้ทั่วชั้นล่าง แต่คนชั้นล่างจะมองไม่เห็นพวกเขา
เขาเห็นว่าเนี่ยชิงหลวนสั่งอาหารแล้ว กำลังดื่มชากับผีผาพลางพูดคุยเรื่องบางอย่างด้วยกัน
เวลานี้จ้าวเสี่ยวเป่ยกลับสงสัยใคร่รู้อย่างมาก จึงกวักมือเรียกเด็กรับใช้
เด็กรับใช้เอาผ้าเช็ดโต๊ะพาดบ่า เอามือแนบลำตัววิ่งมาหาแล้วถามอย่างนอบน้อมยิ่ง “ท่านจ้าวเรียกข้าน้อย มีอะไรหรือขอรับ”
จ้าวเสี่ยวเป่ยกับจั่วหลิงมากินอาหารที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้บ่อยๆ ดังนั้นตั้งแต่เถ้าแก่โรงเตี๊ยมจนถึงเด็กรับใช้ล้วนรู้จักทั้งสองเป็นอย่างดี
จ้าวเสี่ยวเป่ยชี้ไปที่เนี่ยชิงหลวนกับผีผาที่อยู่ข้างล่าง “แม่นางทั้งสองสั่งอาหารอะไรบ้าง”
เด็กรับใช้หันมองตามที่เขาชี้แล้วรีบบอกทันที “อ้อ แม่นางทั้งสองนั่นเอง พวกนางสั่งเนื้อวัวตุ๋น แป้งทอดห่อไส้เนื้อวัว เนื้อแพะผัดต้นหอม ซี่โครงแพะย่าง แล้วก็สั่งน้ำแกงเนื้อแพะใส่แป้งย่างมาคนละชาม อาหารพวกนี้สั่งเหมือนกันสองชุด ชุดหนึ่งกินที่นี่ อีกชุดห่อกลับขอรับ”
เมืองหล่งเลี้ยงวัวกับแพะไว้มาก ดังนั้นโรงเตี๊ยมจึงมีอาหารหลากหลายที่ทำจากเนื้อวัวและเนื้อแพะ
จ้าวเสี่ยวเป่ยกระตุกมุมปาก ในใจคิดว่าแม่นางทั้งสองไม่ได้กินเนื้อมานานแล้ว อาหารที่สั่งจึงล้วนมีเนื้อ ที่สำคัญก็คือพวกนางกินจุถึงเพียงนี้เชียวหรือ