บทที่ 6
จะกล่าวถึงจั่วหลิงแม่ทัพแดนพายัพผู้นี้ ทั้งในและนอกราชสำนักต่างวิจารณ์เขาทั้งในแง่ดีและแง่ร้ายปะปนกันไป
ฝ่ายหนึ่งชื่นชมว่าเขาเป็นอัจฉริยะในการทำศึก เก่งกาจเสียยิ่งกว่ารุ่นปู่ของเขา ในขณะที่อีกฝ่ายหมิ่นแคลน บอกว่าเขาเป็นคนโหดร้ายทารุณ ซ้ำยังมักใหญ่ใฝ่สูง
ว่ากันว่าเมื่อคราวรัชศกหลงชิ่งปีที่สิบ ทั้งในและนอกราชสำนักต่างลือกันว่ามีขุนนางกลุ่มหนึ่งพากันยื่นฎีกาขอให้แต่งตั้งจั่วหลิงเป็นแม่ทัพแดนพายัพจนฮ่องเต้หลงอันตี้ไม่อาจทัดทาน จำต้องเชิญจั่วหลิงให้ออกมานำทัพอย่างไม่ค่อยเต็มใจ เพราะไม่ต้องการปล่อยให้คนสกุลจั่วมีอำนาจยึดกุมกองทัพอีกครั้ง พระองค์จึงส่งมอบกำลังพลหลายหมื่นให้แก่จั่วหลิงอย่างส่งเดช ทำให้ทัพต้าจิ้นในขณะนั้นมีแต่ทหารที่มีสภาพไม่พร้อมรบ
ทหารหลายหมื่นที่มีสภาพย่ำแย่เหล่านี้ล้วนไม่คณามือชาวหู ยังจะหวังกอบกู้ดินแดนที่เสียไปให้กลับคืนมาได้อีกหรือ
ได้ยินว่าตอนนั้นมีขุนนางใหญ่กลุ่มหนึ่งลอบปรึกษาหารือเรื่องการย้ายเมืองหลวงกันไว้แล้ว
ทว่าไม่กี่วันให้หลังสารด่วนแปดร้อยหลี่ก็มาถึง แจ้งว่าจั่วหลิง แม่ทัพแดนพายัพสามารถกอบกู้เมืองไป๋คืนมาได้แล้ว
ขุนนางในท้องพระโรงพากันตะลึงงัน แม้แต่ฮ่องเต้หลงอันตี้ยังลืมรักษาอาการสุขุมคัมภีรภาพในฐานะฮ่องเต้ไปสิ้น พระองค์ถึงกับเดินโซเซลงมาจากบัลลังก์ คว้าชายแขนเสื้อเสนาบดีกรมทหารมาถามว่าที่รายงานเมื่อครู่ใช่เรื่องละเมอเพ้อพกหรือไม่
กระทั่งทรงหยิบฎีกาขึ้นมาอ่านทวนซ้ำอย่างจริงจังอยู่หลายรอบ ฮ่องเต้หลงอันตี้จึงค่อยยอมเชื่อว่าเป็นความจริง
ได้ยินว่าตอนนั้นเหล่าขุนนางในท้องพระโรงพากันตื่นเต้น ถึงกับทรุดลงหมอบกับพื้น ร้องไห้โฮพลางเปล่งเสียงร้องอื้ออึงว่า ‘สวรรค์อวยชัยให้ต้าจิ้นของเราแล้ว’
หลังจากนั้นจั่วหลิงก็นำทัพทหารต้าจิ้นคว้าชัยชนะได้อย่างต่อเนื่องราวกับลำไผ่ปริแยก ไม่ช้าก็ขับชาวหูออกไปจากเมืองหล่งได้
ชาวหูย่อมไม่ยินยอมปล่อยให้เนื้อชิ้นงามหลุดมือ จึงรวบรวมกำลังพลอยู่ด้านนอกเมืองหล่งเหมือนแรกเริ่ม คอยบุกเข้ามาไม่หยุดหย่อน แต่สุดท้ายก็ถูกจั่วหลิงตีจนแตกพ่าย ต้องถอยร่นกลับไป
ที่น่าแปลกก็คือเมื่อหลงอันตี้มีรับสั่งให้กรมทหารส่งหนังสือเร่งให้จั่วหลิงออกไปนอกเมืองหล่ง หวังให้เขาตามไล่ล่าสังหารชาวหูชาติสุนัขเหล่านั้น แต่จั่วหลิงมักมีหนังสือตอบกลับมาทำนองว่าชาวหูมีเล่ห์เหลี่ยมร้ายกาจนัก ไม่อาจหาทางกำจัดให้สิ้นซากได้