ซ่อนรักชายาลับ
ทดลองอ่าน ซ่อนรักชายาลับ บทที่ 10-บทที่ 12
ยามนี้ภายในห้องหนังสือไม่มีใครอยู่ ชุยสิงโจวนั่งอยู่ตามลำพังที่โต๊ะหนังสือไม้จันทน์ สายตามองดูท้องฟ้าสีครามภายนอกหน้าต่าง
บนโต๊ะมีจดหมายขอหน้าที่การงานให้ญาติสนิทวางอยู่หลายแผ่น แผ่นแรกๆ ล้วนเป็นบรรดาหลานของสกุลเหลียนของว่าที่พ่อตา
เพราะว่าท่านน้าเป็นคนนำมาให้เอง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องไว้หน้าบ้าง แต่พวกที่มาขอการงานเหล่านี้ต่างไร้ความสามารถกันทั้งนั้น เมื่อครู่นี้ในงานเลี้ยงท่านน้ายังผลักไสให้ท่านน้าเขยที่เป็นคนทึ่มทื่อมาคุย ท่านน้าเขยไม่ถนัดพูดจาอ้อมค้อมจึงพูดตะกุกตะกัก ต้องให้ชุยสิงโจวช่วยแก้ไขสถานการณ์อย่างเข้าอกเข้าใจแทน
หนี้น้ำใจประเภทนี้ทุกวันมีมานับไม่ถ้วน หากเป็นปกติชุยสิงโจวจะต้องเห็นแก่หน้าตาของว่าที่พ่อตา จัดการไปอย่างเหมาะสมก็พอแล้ว
แต่ไม่คาดคิดว่าว่าที่พ่อตาจะฟังคำพูดของท่านน้า เรียกบ่าวชายไปสอดส่องที่ตำบลหลิงเฉวียน ทว่ากลับแตะโดนเกล็ดย้อน* ของชุยสิงโจวเข้าให้
ตำบลหลิงเฉวียนหว่านแหคลุมไว้ทั่วเพื่อรอคอยให้โจรกบฏมาติดกับด้วยตนเอง ไฉนจะยอมให้คนมาก่อความวุ่นวายได้?
พวกเรื่องเกี่ยวกับงานเช่นนี้ เขาไม่มีทางอธิบายให้ท่านน้ากับญาติผู้น้องฟังแน่
ชุยสิงโจวไม่ชอบหญิงสาวที่คิดเองเออเอง ไม่ว่าข้อเสนอในวันนี้ของท่านน้ามีความตั้งใจของเหลียนปิ่งหลันอยู่หรือไม่ เขาก็จำเป็นต้องตักเตือนครอบครัวของญาติผู้น้องอ้อมๆ เสียหน่อย
ดังนั้น ‘จดหมายจากครอบครัว’ เหล่านั้นที่เหลืออยู่ เขาจึงโยนทิ้งไปในเตาข้างๆ ทันทีโดยไม่แม้แต่จะเหลือบดู
เรือนหน้ายังมีแขกอยู่มากมาย แต่ชุยสิงโจวรู้สึกเกียจคร้านขึ้นมากะทันหัน ไม่อยากไปพบปะสังสรรค์เพื่อรักษาน้ำใจอีก บรรยากาศของจวนอ๋องครึกครื้นมีเสียงดังอึกทึกเกินไป เขาเพียงอยากอยู่เงียบๆ เท่านั้น
ดังนั้นจึงพาแค่บ่าวชายโม่หรูเดินออกจากประตูหลังของจวนอ๋องเลียบตามริมฝั่งไปขึ้นเรือ
แม้เวลานี้จะเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ แต่อากาศช่วงกลางคืนยังคงหนาวเหน็บ เขาดื่มสุราไปบ้างในงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิด พอถูกลมเย็นพัดใส่ก็รู้สึกว่าฤทธิ์สุราตีขึ้นมาเล็กน้อย
คนพายเรือถามบ่าวชายโม่หรูว่าต้องการจะไปที่ใด
โม่หรูมองท่านอ๋องที่นั่งพิงกราบเรือแล้วก็ตอบไม่ได้ แค่บอกให้อีกฝ่ายพายไปเรื่อยๆ…
ไม่พ้นครึ่งชั่วยามก็มาถึงท่าเรือของตำบลหลิงเฉวียน
งานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของมารดายังไม่สิ้นสุด พรุ่งนี้เขายังต้องย้อนกลับไป หากไปที่ค่ายทหาร ระยะเวลาเดินทางไปกลับจะกระชั้นชิดเกินไป ดังนั้นจึงนึกถึงบ้านที่มีอยู่บนถนนสายเหนือขึ้นมาเป็นธรรมดา ตอนนี้เป็นเวลากลางดึกไม่มีใครสังเกตเห็นร่องรอยของเขา นับว่าพอจะกล้อมแกล้มนอนหลับสักคืนได้
ดังนั้นหลังชุยสิงโจวสร่างเมาขึ้นมาบ้างแล้วจึงให้คนพายเรือจอดเรือเทียบฝั่ง จากนั้นเดินเอื่อยเฉื่อยท่ามกลางดาราพร่างพราวเหนือศีรษะมาเคาะประตูบ้านบนถนนสายเหนือ
เมื่อพูดถึงหลิ่วเหมียนถัง นับตั้งแต่ซื้อร้านเรียบร้อยก็เร่งให้นายช่างปรับปรุงร้านค้าโดยด่วน
ใช้เวลาแค่ไม่กี่วันก็ซ่อมบำรุงร้านเสร็จคร่าวๆ แล้ว แต่ไม่รู้ว่าสามีตามท่านหมอเทวดาจ้าวไปกินเลี้ยงที่ใดกัน ถึงไม่เห็นกลับมาเสียที
วันนี้ตอนที่นางไปเชิญช่างไม้มาประกอบชั้นวางที่ร้าน ยังคิดว่าสามีน่าจะใกล้กลับแล้วพอดี นึกไม่ถึงว่าพอตกดึกเสียงเคาะห่วงประตูจะดังขึ้นจริงๆ
เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูบ้านหลิ่วเหมียนถังก็รีบลุกขึ้นมาทันที
สองสามวันมานี้นางกลัวว่าสามีจะกลับมาบ้านตอนกลางดึก ตนเองออกมาต้อนรับด้วยสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิงจะดูไม่ดี ดังนั้นก่อนนอนจึงมักให้หลี่มามาช่วยถักเปียยาวให้นางเหน็บไว้หลังหู
ตอนที่ได้ยินเสียงฝีเท้าของสามี นางเปลี่ยนเป็นชุดกระโปรงจีบรอบที่ดูเหมาะสม ทั้งยังแต้มชาดลงบนริมฝีปากนิดๆ จากนั้นสวมรองเท้าปักลายบุปผาเดินออกจากห้องไปต้อนรับในสภาพเรียบร้อย ส่งยิ้มขัดเขินให้สามี “ท่านพี่กลับมาแล้ว!”
เพราะตอนนี้เป็นเวลาดึกมากแล้ว เดิมชุยสิงโจวตั้งใจจะเข้าไปนอนในห้องรองเงียบๆ ใครจะคิดว่าหลิ่วเหมียนถังกลับยังไม่นอน ไม่ทันที่เขาจะเข้าไปในห้องรองนางก็ออกมาต้อนรับแล้ว
มิหนำซ้ำไม่รอให้เขาพูดอะไร ภรรยาตัวน้อยก็เลิกม่านประตูขึ้นรอเขาเดินเข้ามาตาปริบๆ
ชุยสิงโจวเพ่งสมาธิมอง รู้สึกว่าไม่ได้พบหน้าหญิงสาวผู้นี้เพียงไม่กี่วัน นางคล้ายจะงดงามขึ้นอีกแล้ว แม้หลายปีมานี้ชีวิตนางจะยากลำบาก แต่คงเพราะรูปโฉมงดงาม ได้รับการทะนุถนอมจากบุรุษ ไม่เคยให้นางต้องได้รับความลำบากเรื่องกินนอน ผิวกายจึงนวลผ่อง สิ่งที่หมุนวนอยู่ในดวงตาคู่งามก็คือความไร้เดียงสาที่ไม่เคยแปดเปื้อนมาก่อน
เมื่อโดนดวงตาเช่นนี้มองมามักชวนให้คนปลดปราการป้องกันออกโดยไม่รู้ตัว…มิน่าถึงหลอกเถ้าแก่สองร้านนั้นให้ขายร้านแก่นางในราคาถูกๆ ได้
ชุยสิงโจวคิดเช่นนี้อย่างเกียจคร้านพลางเดินเข้าไปในห้องที่เต็มไปด้วยกลิ่นหอมอย่างห้ามตนเองไม่อยู่
หลังมีประสบการณ์ถูกสามีบุกรุกตอนกลางดึกมาสองครั้ง หลิ่วเหมียนถังที่คิดว่าตนเองเป็นภรรยามือใหม่ที่ต้องเริ่มเรียนรู้ใหม่ได้เตรียมตัวไว้พร้อมแล้ว
สองสามวันที่ผ่านมานางพาหลี่มามาไปซื้อเนื้อแดดเดียว ทั้งเตรียมไข่ไก่ ข้าวสาร และน้ำมันไว้พร้อมสรรพ ต่อให้ตอนกลางคืนมี ‘ใครสักคน’ หิวก็สามารถหั่นเนื้อมาผัดหอมๆ กินกับข้าวได้ทันที
นอกจากนี้หลิ่วเหมียนถังยังซื้อถังน้ำใบใหญ่มากมาด้วย เพียงแต่การเผาฟืนต้มน้ำออกจะสิ้นเปลืองไปบ้าง ดังนั้นหลังซื้อมานางก็ตัดใจใช้เองไม่ลง คิดว่ารอสามีกลับมาค่อยต้มน้ำเดือดสองหม้อใหญ่ให้เขาได้แช่น้ำอุ่นคลายความอ่อนล้า
ดังนั้นหลังชุยสิงโจวเข้ามา หลิ่วเหมียนถังจึงเดินนำเขาไปดูเครื่องเรือนใหม่ที่เพิ่มเข้ามาหลังฉากบังลมอย่างกระตือรือร้น
“ฝีมือประกอบถังน้ำของครอบครัวแม่นางเผยแห่งถนนสายเหนือมีชื่อเสียงนัก ข้าเลยสั่งจากบ้านนางมาใบหนึ่ง เพราะว่าเป็นเพื่อนบ้านกันนางยังเก็บเงินข้าน้อยลงอีกครึ่งหนึ่ง! ประเดี๋ยวข้าจะให้หลี่มามาต้มน้ำอุ่นเข้ามาให้ท่านได้อาบน้ำ…”
พูดไปได้ครึ่งทางหลิ่วเหมียนถังก็ได้กลิ่นสุราฉุนกึกลอยมาจากตัวชุยสิงโจว จึงเอ่ยถามอย่างลังเล “ท่านพี่ดื่มสุรามาหรือ”
ยามนี้ฤทธิ์สุราชั้นเลิศที่ดื่มไปในงานเลี้ยงกำลังตีขึ้นมา ชุยสิงโจวจึงผลักหลิ่วเหมียนถังออก แล้วล้มตัวนอนบนเตียงโดยไม่แม้แต่ถอดรองเท้า
วันนี้เขารู้สึกหงุดหงิดใจ ไม่มีอารมณ์แสร้งทำตัวเป็นสามีจริงๆ แค่อยากจะนอนโดยไม่มีใครมารบกวนเท่านั้น
หากหญิงสาวผู้นี้วางแผนร้ายใดไว้ เวลานี้ก็นับเป็นโอกาสที่ดีที่สุดแล้ว!…แม้ชุยสิงโจวจะโดนฤทธิ์สุรารบกวน ถึงอย่างนั้นก็ยังคงคิดอย่างเย้ยหยันตนเองถึงจุดนี้ได้
เขาปิดตาลงพลางฟังเสียงฝีเท้าแผ่วเบาภายในห้อง ไม่รู้ว่าหลิ่วเหมียนถังเดินออกไปพูดอะไรกับหลี่มามาที่ข้างนอก ผ่านไปครู่หนึ่งถึงเพิ่งกลับมา
ชุยสิงโจวหลับตานอนนิ่ง แต่หูกลับได้ยินเสียงสวบสาบ เพียงไม่นานผ้าอุ่นผืนหนึ่งก็โปะลงมาบนหน้าผากเขาเบาๆ
ที่แท้เมื่อครู่หลิ่วเหมียนถังไปยกอ่างน้ำมา จากนั้นชุบผ้าให้เปียกแล้วเช็ดใบหน้าชุยสิงโจวให้
แต่หลิ่วเหมียนถังเช็ดไปครู่หนึ่งก็เห็นชุยสิงโจวย่นคิ้วน้อยๆ คล้ายไม่พอใจที่มีคนมารบกวนการนอน
ยามนี้หากเป็นสาวใช้ในจวนอ๋องจะต้องสังเกตเห็นสีหน้า ไม่กล้ารบกวนการพักผ่อนของท่านอ๋องอีก ยิ่งไม่กล้านำผ้าเปียกมาเช็ดบนใบหน้าท่านอ๋องตรงๆ โดยไม่มีคำสั่งจากเขา
แต่หลิ่วเหมียนถังมิใช่สาวใช้ แต่เป็นคนที่หลงคิดว่าตนคือภรรยาตัวจริงของสามีสกุลชุย สุราเหล่านั้นมีกลิ่นหอมหวลยามอยู่ในไห ทว่าหลังลงท้องรอผ่านไปอีกสองสามชั่วยามก็จะส่งกลิ่นเหม็นไม่น่าดมแล้ว