ซ่อนรักชายาลับ
ทดลองอ่าน ซ่อนรักชายาลับ บทที่ 10-บทที่ 12
บทที่ 12
ชุยสิงโจวเป็นทั้งสหายสนิทของจ้าวเฉวียน แล้วก็เป็นญาติที่มีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้น จะยอมปล่อยให้จ้าวเฉวียนทำตัวเหลวไหลเยี่ยงนี้ได้อย่างไร
เพื่อสะบั้นความคิดของจ้าวเฉวียน ชุยสิงโจวจึงเอ่ยว่า “เขามีภรรยากับอนุมากมาย หากเจ้าเชิญคนในครอบครัวเขา เกรงว่าจะเกิดความไม่เท่าเทียม ไม่ว่าละเลยผู้ใดไปก็ไม่ดีทั้งนั้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้มิสู้ตัดปัญหาโดยการไม่เชิญเขามาเสียเลยดีกว่า”
หลิ่วเหมียนถังได้ยินแล้วเอ่ยอย่างลังเล “ท่านหมอเทวดาจ้าวกับท่านพี่ดูสนิทสนมกันดี หากเสียมารยาทเช่นนี้…จะดีหรือ”
ชุยสิงโจวหลุบตาลง ตัดสินใจเอ่ยตัดปัญหาในภายหลัง “แม้สหายจ้าวจะมีวิชาแพทย์สูงส่ง แต่เขามักจะรู้สึกว่าอาหารในจานผู้อื่นอร่อยกว่า คนที่สนิทกับเขาต่างหลีกเลี่ยงไม่ให้เขาสนิทกับภรรยาหรืออนุของตนเองมากไป…หากไม่ใช่เพราะเจ้าป่วย ข้าก็ไม่มีทางเชิญเขามาหรอก”
หลิ่วเหมียนถังกะพริบตาปริบๆ ตอนนี้ถึงได้เข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของสามี ที่แท้คนมีความสามารถอย่างท่านหมอเทวดาจ้าวก็ชอบลักขโมยภรรยาผู้อื่น! นี่มัน…ไม่ใช่พวกสุนัขป่าหิวกระหายหรอกหรือ!
เมื่อนึกไปถึงคราวก่อนที่เห็นสามีแสดงสีหน้าไม่พอใจตอนที่ท่านหมอเทวดาจ้าวกระตือรือร้นช่วยตนเอง นั่นมิใช่ว่าสามีหึงหวงหรอกหรือ
ทว่าตอนที่นางป่วยหนักเขากลับไม่สนใจว่าเหนือศีรษะจะมีเมฆเขียว* ปกคลุม ไม่ว่าอย่างไรก็จะเชิญตัวจ้าวเฉวียนที่สามารถช่วยชีวิตตนเองมาให้ได้ นี่เขามีความรู้สึกให้นางลึกซึ้งมากเพียงใดกันแน่
คิดมาถึงตรงนี้นางพลันรู้สึกผิดขึ้นมา รวมถึงรู้สึกหวานล้ำอย่างบรรยายไม่ถูก ก่อนจะรีบเอ่ยรับรองกับสามีทันที “ในเมื่อเขาเป็นคนเช่นนี้ วันหน้าข้าจะไม่มองเขาด้วยซ้ำ…ท่านพี่ ก่อนหน้านี้ที่ข้าพูดคุยกับเขา ท่านเคยโกรธข้าหรือไม่”
หญิงสาวตรงหน้ารูปโฉมงดงาม ทว่าเวลาที่มีเสน่ห์ที่สุดกลับเป็นตอนที่นางมีดวงตาสุกสกาวแวววาว แก้มขึ้นริ้วสีแดงระเรื่อเหมือนดั่งหลิ่วเหมียนถังตรงหน้าในตอนนี้ ดวงหน้าดั่งดอกท้อ นัยน์ตาดุจธาราฤดูสารท…ชุยสิงโจวมองนางอยู่สักพักใหญ่ถึงได้เอ่ยเสียงนุ่มนวล “ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด วันหน้าเจ้าไม่คุยกับเขาอีกจะดีที่สุด”
แม้จะอาลัยอาวรณ์เขาเพียงใด แต่เรื่องศึกษาศาสตร์การเดินหมากล้อมของสามีนั้นก็สำคัญ ได้ยินว่าอาจารย์ดีๆ ท่านนั้นหาตัวได้ยากมาก เขาเกลียดคนเกียจคร้านเป็นที่สุด สามีจำต้องออกจากบ้านไปเล่าเรียนแต่เช้า
หลังส่งสามีออกจากบ้าน เห็นเขาผลุบเข้าไปในตัวรถม้า แล้วมองรถม้าแล่นออกไปจากตรอก หลิ่วเหมียนถังถึงได้เตรียมกลับเข้าไปข้างในอย่างยังนึกอาวรณ์อยู่
ตอนนั้นเองป้าจางที่ออกไปทิ้งปัสสาวะกลับมาเจอเข้าพอดี ทว่าเห็นเพียงม่านรถม้าที่พะเยิบไหวของรถม้าซึ่งรีบแล่นจากไป นางรีบชะโงกหน้าไปเรียกรั้งหลิ่วเหมียนถังไว้เสียงดัง “ชุยฮูหยินรอก่อน คนที่นั่งในรถม้าเมื่อครู่นี้ใช่สามีของเจ้าหรือไม่”
หลิ่วเหมียนถังยิ้มตอบว่า “ใช่เจ้าค่ะ”
ป้าจางจึงเอ่ยอย่างเสียดาย “เมื่อครู่นี้เห็นแต่ตอนเขาขึ้นรถม้า ข้าเองก็สายตาไม่ดี ทั้งเสื้อกันลมที่สามีเจ้าสวมใส่ก็ตัวใหญ่เกินไป บดบังใบหน้าไปเสียครึ่ง เห็นแค่ศีรษะเท่านั้น วันหน้าหากสามีเจ้าเดินอยู่ตรงหน้าข้า ข้าก็ยังไม่รู้ว่าเป็นท่านชุยด้วยซ้ำ”
ได้ยินป้าจางพูดเช่นนี้หลิ่วเหมียนถังไม่ได้ใส่ใจอะไร เพียงยิ้มแล้วเอ่ยตอบว่า “ทุกคนต่างเป็นเพื่อนบ้านกัน วันเวลาข้างหน้ายังอีกยาวนาน จะต้องมีวันที่ได้เจอหน้าแน่นอนเจ้าค่ะ”
หลังตอบรับเสร็จหลิ่วเหมียนถังก็ตั้งใจกลับเข้าไปในบ้าน
เมื่อครู่นี้ได้ยินหลี่มามาบอกว่าในหม้อยังเหลือน้ำร้อนอยู่มาก นางจะได้แช่ตัวพอดี หลายวันมานี้มีฝนตกลงมา อากาศทั้งชื้นและหนาวยะเยือก อาการบาดเจ็บตรงมือและเท้านางต่างปวดร้าวขึ้นมานิดๆ หากได้แช่น้ำอุ่นสักหน่อยก็จะสามารถบรรเทาอาการได้พอดี
แต่ป้าจางกลับเป็นคนชอบสืบหาข่าวเรื่องของผู้อื่น คิดแค่อยากอาศัยโอกาสนี้สืบเสาะเรื่องของเพื่อนบ้านเอาไว้ วันหน้าเวลาพูดคุยกับเพื่อนบ้านคนอื่นจะได้มีอะไรให้สนทนา
“ชุยฮูหยิน อย่าหาว่าป้าอย่างข้ายุ่งวุ่นวายเลย แต่ว่าสามีเจ้ามักจะกลับมาตอนดึกแล้วออกไปแต่เช้าตรู่ ไม่มีโอกาสให้พบหน้า เจ้าต้องบอกกับเขาด้วยว่าทำตัวเช่นนี้ไม่ดี พอผ่านไปนานวันเข้าจะโดนเพื่อนบ้านติฉินนินทาได้”
พูดถึงตรงนี้ป้าจางก็กดเสียงลงเอ่ยต่อ “เจ้าต้องรู้ว่าพวกขุนนางที่มีอนุต่างทำตัวเช่นนี้กันทั้งนั้น สภาพเหมือนกลัวใครมาเห็นเข้า ทำเอาบรรยากาศละแวกพวกเราดูไม่ดี ทุกๆ ระยะหนึ่งมักมีภรรยาเอกมาโวยวายถึงบ้าน ทำเอาคนไม่ได้อยู่อย่างสงบสุข…”
หลังพูดจบป้าจางก็จ้องใบหน้าชุยฮูหยินเขม็ง ดูว่านางจะแสดงสีหน้าร้อนรนออกมาหรือไม่
ทว่าหลิ่วเหมียนถังกลับยิ้มน้อยๆ เอ่ยอย่างสง่าผ่าเผย “สามีข้าไม่ใช่คนเสเพล ย่อมมีเรื่องสำคัญต้องทำ บุรุษที่ทำงานคนใดไม่ออกจากบ้านแต่เช้ากลับมามืดค่ำบ้างเล่า เขาจะทำให้ตนเองเสียเวลางานเพื่อคำพูดนินทาของผู้อื่นไปเพื่ออันใด บางคนกินอิ่มแล้วว่างมานินทาเรื่องชาวบ้าน ข้าเองก็ไม่อาจพูดอะไรได้ แต่มีอยู่เรื่องหนึ่ง หากมีใครใส่ร้ายสามีข้า ทำลายชื่อเสียงครอบครัวพวกเรา เช่นนั้นก็อย่าโทษว่าข้าบุกไปด่าทอถึงบ้าน พังประตูบ้านเขา ดึงลิ้นยาวๆ ของเขาพาไปฟ้องร้องยังที่ว่าการเลย!”
ตอนที่ชุยฮูหยินพูดประโยคนี้บนใบหน้าประดับรอยยิ้มอ่อนหวานอยู่ตลอดก็จริง แต่ป้าจางกลับรู้สึกว่าดวงตาคู่งามของอีกฝ่ายทอประกายอำมหิต ดูจากสภาพแล้วจะแค่ด่าทอดึงลิ้นอย่างง่ายดายเช่นนั้นเสียที่ใดกัน!
ป้าจางขนลุกขึ้นมาวูบหนึ่งอย่างไม่มีสาเหตุ หมดความสนใจจะสืบเสาะเรื่องราวอีก แค่ยิ้มเจื่อนๆ แล้วถือโถปัสสาวะเดินกลับบ้านไป
หลี่มามายืนอยู่ตรงประตูได้ยินทุกคำพูดของหลิ่วเหมียนถังไม่มีตกหล่น ในใจจึงเต็มไปด้วยสารพันความรู้สึก
แม้หลิ่วเหมียนถังจะพยายามรักษาชื่อเสียงของสามีอย่างสุดความสามารถ ทว่าไม่ได้รู้เลยว่าความจริงฐานะของตนเองดูไม่ได้เสียยิ่งกว่าอนุของขุนนางพวกนั้น เมื่อมองสีหน้าผ่าเผยของนางแล้วก็ชวนให้คนทนไม่ได้จริงๆ