ซ่อนรักชายาลับ
ทดลองอ่าน ซ่อนรักชายาลับ บทที่ 13-บทที่ 15
บทที่ 14
นึกไม่ถึงว่าในดวงตาเท่าเมล็ดถั่วของแมลงปอจะซ่อนความลับเอาไว้อยู่!
ตรงจุดนี้จ้าวเฉวียนยังมองไม่ออกจริงๆ
ดูท่าเฮิ่นปี่จวีซื่อผู้นี้จะภาคภูมิใจในจุดนี้มาก ดังนั้นจึงไม่เกรงใจต่อป๋อเล่อจ้าวเฉวียนที่มองไม่ออกถึงความยอดเยี่ยมของภาพวาด
แต่เฮิ่นปี่จวีซื่อคาดไม่ถึงว่าหญิงสาวที่ยืนเงียบๆ มาโดยตลอดจะค้นพบความลับของภาพวาด ช่างเป็นผู้รู้ใจที่หาได้ยากของเขาจริงๆ
ดังนั้นเฮิ่นปี่จวีซื่อจึงมองไปที่หลิ่วเหมียนถังอย่างชื่นชม ก่อนลูบเครากล่าว “แม่นางผู้นี้สายตาดีนัก”
หลิ่วเหมียนถังยิ้มน้อยๆ นางเองก็ไม่รู้ว่าสายตาตนเองดีเพียงนี้ ตอนแรกแค่เห็นว่าดวงตาของแมลงปอดูสว่างแปลกๆ จึงตั้งใจมองสำรวจ ไม่รู้เพราะเหตุใดนางจึงเกิดความรู้สึกคุ้นเคยกับวิธีการวาดภาพแบบซ่อนความลับไว้นี้ ทว่าในเวลาอันสั้นก็ยังนึกอันใดไม่ออก
ถึงอย่างนั้นภาพวาดนี้ก็ดึงดูดความสนใจของนาง จึงตามจ้าวเฉวียนมาหาจิตรกรท่านนี้ด้วยกัน
แน่นอนว่านางไม่ได้น่าเบื่ออย่างจ้าวเฉวียนที่อยากจะเป็นป๋อเล่อที่รู้จักมองคน
ต่อให้ภาพนั้นจะงดงามกว่านี้ก็ต้องวาดลงไปบนเครื่องเคลือบดินเผาก่อนค่อยว่ากัน หากบัณฑิตท่านนี้เป็นเหมือนที่จ้าวเฉวียนบอก สามารถมีชื่อเสียงโด่งดังได้จริงๆ ถ้าอย่างนั้นพวกจานชามกับแจกันที่เขาวาดภาพลงไป มิใช่ว่าจะขายได้ราคาแพงยิ่งขึ้นหรอกหรือ
แต่ในสายตาของเฮิ่นปี่จวีซื่อกลับมองไม่ออกว่าหญิงออกเรือนอายุน้อยผู้อ่อนหวานงามสง่าท่านนี้จะเป็นคนค้าขายที่มีผลประโยชน์บังตา แค่รู้สึกว่านอกจากภรรยาที่ตายไปของตนเอง ในที่สุดก็มีผู้รู้ใจที่สายตาเฉียบแหลมปรากฏขึ้นอีกคนแล้ว
แต่หลิ่วเหมียนถังอดรนทนไม่ไหวบอกถึงเจตนาที่ตนมาหาในทันที คิดเพียงอยากเชิญอีกฝ่ายมาช่วยวาดภาพลงบนเครื่องเคลือบดินเผาของตนเอง นางยินดีจ่ายค่าตอบแทนให้ในราคาสูง
จ้าวเฉวียนไม่ได้ค้นพบความลับเป็นคนแรก นอกจากนึกอับอายแล้ว ความจริงในใจยิ่งปีติยินดีกว่าเดิม ไม่ว่าจะพูดอย่างไรเขาก็เป็นคนพบยอดฝีมือระดับนี้ก่อน เดิมหลงคิดว่าบัณฑิตผู้นี้มีแต่ความสง่างาม ตอนนี้ดูแล้วฝีพู่กันเองก็ยอดเยี่ยมที่สุด หากนำผลงานนี้ไปเปิดเผยต่อหน้าผู้อื่น วันเวลาที่จะกลายเป็นยอดฝีมือที่มีคนไล่ตามก็ใกล้แค่เอื้อมแล้ว!
แต่จ้าวเฉวียนยังไม่ทันพูดคุยถึงอนาคตอันรุ่งเรืองกับบัณฑิตผู้นี้ หลิ่วเหมียนถังก็จะให้อีกฝ่ายไปทำงานชั้นต่ำอย่างช่างฝีมือก่อนแล้ว ช่างเป็นการดูถูกยอดฝีมือจริงๆ!
เขาตระหนักดีว่านิสัยของบัณฑิตผู้นี้แปลกประหลาด กลัวว่าเขาจะไล่คนอีกจึงรีบเอ่ยกับหลิ่วเหมียนถัง “ฮูหยินช่างเหลวไหลจริงๆ! บัณฑิตสูงส่งอย่างเขาจะทำงานช่างได้เยี่ยงไร หากเจ้าขาดจิตรกรวาดภาพบนเครื่องเคลือบดินเผา ในตรอกงานฝีมือใกล้ๆ มีอยู่ให้ทั่ว เจ้าอยากจ้างสักกี่คนก็ได้ทั้งนั้น ข้าออกค่าจ้างให้ก็พอแล้ว!”
หลิ่วเหมียนถังเห็นว่าเริ่มสายแล้ว นางเองก็ไม่อยากอยู่ในลานบ้านเดียวกับจ้าวเฉวียนนานเกินไป จึงสนใจแค่เอ่ยอย่างตรงไปตรงมากับเฮิ่นปี่จวีซื่อผู้นี้ “ผู้อาวุโส บอกท่านตามตรง บ้านข้าเปิดร้านขายเครื่องเคลือบดินเผาแต่กิจการไม่ดีนัก หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ คงต้องปิดร้านลง แต่ร้านแห่งนี้เป็นกิจการแรกที่สามีของข้าเปิดหลังย้ายมาจากเมืองหลวง หากปิดกิจการไปทั้งอย่างนี้ในใจเขาจะต้องได้รับความสะเทือนใจเป็นแน่ ภรรยาอย่างข้าช่วยอะไรเขาไม่ได้มาก เพียงแค่อยากเชิญฝีมือสูงส่งของท่านมาช่วยเหลือ วาดผลงานชั้นเลิศให้แก่ร้านเพื่อสร้างชื่อเสียง และเพื่อให้สู้กับร้านเครื่องเคลือบดินเผาเก่าแก่เหล่านั้นได้ วันหน้าจะได้นำสินค้าชั้นเลิศมาขายได้มากขึ้น หากสามารถกระตุ้นกิจการครอบครัวขึ้นใหม่ได้สำเร็จ ข้าจะจดจำบุญคุณจนวันตาย ตอบแทนท่านอย่างจริงใจแน่นอน!”
เห็นได้ชัดว่าคำพูดจากใจประโยคนี้สร้างความประทับใจแก่เฮิ่นปี่จวีซื่อเพียงใด เขาตั้งใจมองหลิ่วเหมียนถังที่มีท่าทีมุ่งมั่นแล้วถาม “ท่านจะจ่ายเงินเท่าไร”
หลิ่วเหมียนถังคิดถึงทุนทรัพย์อันน้อยนิดของที่บ้านแล้วรู้สึกไม่มั่นใจ ถามกลับแทน “ท่านต้องการเท่าไร”
ไม่รอให้เฮิ่นปี่จวีซื่อต่อราคา จ้าวเฉวียนที่กลัวว่าเขาจะลดทอนค่าตนเองถลึงตาเอ่ยแทรกทันที “ภาพวาดของท่านสามารถขายให้ข้าได้ ข้าเต็มใจจ่ายหนึ่งร้อยตำลึงเพื่อซื้อภาพของท่าน!”
ล้อเล่นอันใดกันอยู่! ไฉนยังมีสามีนางได้รับความสะเทือนใจจนหมดกำลังใจนั่นอีก เกรงว่าเจ้าคนสกุลชุยนั่นล่อโจรไม่ได้เสียทีเลยร้อนใจจนหงุดหงิดมากกว่ากระมัง!
หากเป็นเรื่องอื่นยังดี แต่ว่าเขาไม่อยากให้ละครหลอกลวงของชุยสิงโจวมาทำให้ยอดฝีมือผู้หนึ่งต้องเสียเวลา!
บัณฑิตสูงศักดิ์ฐานะยากจนที่มาจากบ้านนอกถึงจะทำให้คนประทับใจได้มากที่สุด จะให้พูดว่าเป็นช่างฝีมือที่วาดภาพให้ร้านเครื่องเคลือบดินเผาได้อย่างไร จ้าวเฉวียนไม่มีทางปล่อยให้ยอดฝีมือท่านนี้เต็มใจพาตนเองไปตกต่ำเด็ดขาด!
หลิ่วเหมียนถังเองก็เบิกตากว้าง นางนึกไม่ถึงว่าหมอคนหนึ่งจะกล้าขึ้นราคาตัดหน้าเช่นนี้!
แม้จะได้ยินสามีบอกว่าครอบครัวของเขามีภรรยาและอนุมากมาย ไม่น่าจะมีปัญหาด้านการเงิน แต่จ่ายเงินหนึ่งร้อยตำลึงเพื่อซื้อภาพวาด นั่นไม่ใช่เสียสติไปแล้วหรือ เขาฟุ่มเฟือยเช่นนี้ ไม่กลัวว่าอนาคตจะต้องพาภรรยาและอนุออกไปขอทานหรือไร
ที่สำคัญยิ่งกว่าคือนางจ่ายราคาหนึ่งร้อยตำลึงไม่ไหว จ้าวเฉวียนไม่ใช่คนดีจริงๆ ด้วย! ทำลายเรื่องดีๆ ของนางไปเสียอย่างนั้น!
ยามนั้นหลิ่วเหมียนถังไม่มีเวลาไปสนใจเรื่องมารยาทอีก นางยากจะข่มความโกรธในใจเอาไว้ จึงถลึงตาใส่จ้าวเฉวียนไปหนหนึ่ง
จ้าวเฉวียนผู้นั้นเพิ่งช่วยยอดฝีมือที่กำลังจะตกต่ำไว้ได้ทันท่วงที ยังไม่ทันจะลำพองใจก็ถูกหลิ่วเหมียนถังถลึงตาใส่ แววตาดั่งคมมีดนั้นทำเอาเขาตัวสั่นเทิ้มขึ้นมา
เป็นแม่นางที่ดุเหลือเกิน แต่เวลาถลึงตาก็ยังดูดีเพียงนี้…
ในตอนนั้นเองเฮิ่นปี่จวีซื่อพลันเอ่ยปากขึ้น “เวลาข้าขายให้ร้านขายภาพวาดก็จะขายภาพละสี่สิบอีแปะ* แม่นางจ่ายราคานี้ให้ข้าก็พอแล้ว”
ทันทีที่ประโยคนี้หลุดออกมาหลิ่วเหมียนถังก็ดีใจจนออกนอกหน้า ขณะที่จ้าวเฉวียนโง่งมไปโดยสมบูรณ์
จ้าวเฉวียนปวดใจ ขยี้เท้าถาม “เหตุใดท่านต้องยอมให้ตนเองตกต่ำด้วย”
แต่เฮิ่นปี่จวีซื่อกลับเดินเข้าไปในกระท่อมฟางด้านข้าง นั่นน่าจะเป็นสถานที่ที่ปกติเขาใช้วาดภาพ ได้เห็นเขาหยิบกระบอกภาพม้วนหนึ่งจากในถังไม้มากางออก ก่อนมองอย่างเศร้าใจขณะเอ่ยขึ้นว่า “แม่นางท่านนี้คล้ายกับภรรยาที่เสียไปของข้ามาก นางร้องขอภาพวาดแทนสามี ความจริงใจนี้ช่างน่าประทับใจ ข้าย่อมต้องช่วยนาง”
จ้าวเฉวียนเดินไปดูอย่างสิ้นหวัง เมื่อได้เห็นภาพสตรีบนม้วนภาพวาดของเฮิ่นปี่จวีซื่อ เขาก็แทบโมโหจนจมูกเบี้ยว
ถึงแม้ด้วยใจลำเอียงของผู้เป็นสามีจะปรับแต่งลายเส้นของภรรยารักไปรอบหนึ่ง แต่สตรีผู้นี้เอวหนาหน้าเป็นลูกพลับ…จะต้องตาบอดถึงขั้นใดกันเชียวถึงรู้สึกว่าคล้ายกับหลิ่วเหมียนถังที่เอวคอดใบหน้ารูปไข่?
ในใจกำลังโมโหจ้าวเฉวียนจึงตะคอกอย่างไม่เกรงใจสักนิด “ฮูหยินท่านเหมือนแม่นางหลิ่วตรงที่ใดกัน!”
เฮิ่นปี่จวีซื่อน้ำตาคลอเอ่อ เหมือนจะสะเทือนใจเข้าจึงเอ่ยเสียงสั่น “แววตาคล้ายกันอย่างยิ่ง…”
สมัยภรรยาของเขามีชีวิตอยู่ไม่เคยปล่อยให้เขาทำงานบ้านสักนิด นางรับผิดชอบทุกอย่างเอง ช่วยประคับประคองครอบครัวเอาไว้ เป็นสตรีมากความสามารถที่มีชื่อเสียง