LOVE
ทดลองอ่าน ฌาลิสสา บทนำ-บทที่ 2
ไม่ทันขาดคำกลุ่มลมหนาวก็พัดกรรโชกผ่านประตูทางออก เส้นผมยาวกลางแผ่นหลังปลิวสยายไปตามแรงลมจนต้องยกผ้าคลุมขึ้นกระชับวรกาย
“ประทับบนรถก่อนเถอะเพคะ”
มันจูหลีกทางให้ผู้เป็นนายก้าวขึ้นไปบนรถพระที่นั่งซึ่งจอดรออยู่หน้าประตูทางออก โดยมีเจ้าหน้าที่สวมเครื่องแบบประจำราชวงศ์โค้งคำนับเจ้าหญิงอยู่ที่ข้างรถ
“กระเป๋าของเจ้าหญิงมาครบไหม”
“เรียบร้อยครับคุณมันจู เดี๋ยวผมนำไปใส่รถคันหลังครับ”
มันจูพยักหน้ารับพลางกำชับองครักษ์ซึ่งอยู่อารักขาเจ้าหญิงลลิสสาที่ลอนดอนมาตลอด
“สัมภาระของเจ้าหญิงแพงๆ ทั้งนั้น มีชุดที่องค์รานีกำชับให้ใส่ร่วมงานฉลองพระชนมพรรษาด้วย หายไม่ได้เด็ดขาด”
“ครับคุณมันจู ผมจะลำเลียงขึ้นรถเองครับ”
องครักษ์เข็นรถตามเจ้าหน้าที่ชายที่สวมกางเกงสีขาวคลุมทับด้วยเสื้อคอตั้งยาวปิดเข่าสีน้ำเงินติดเข็มกลัดตราราชวงศ์ไว้ที่อกเสื้อไป หลังจากมันจูและเจ้าหญิงก้าวขึ้นรถแล้ว รถยนต์พระที่นั่งก็เคลื่อนออกจากจุดจอดรถทันทีทำเอาพี่เลี้ยงท้วงขึ้น
“ไม่ต้องรอคันอื่นก่อนเหรอคะคุณ องครักษ์ของเจ้าหญิงยังไม่ได้ขึ้นรถเลย”
“เดี๋ยวก็ตามมาครับคุณ สนามบินคนเยอะ จอดนานไม่ได้”
“ที่นี่ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองกันแบบนี้เหรอคะ ปกติจะมีจุดจอดรถวีไอพีโดยเฉพาะนะ แล้วก็ไม่ใช่จะมาเร่งแขกกันแบบนี้ด้วย”
“ขอโทษครับคุณผู้หญิง วันนี้ผมต้องวิ่งรอกรับแขกวีไอพีจากหลายประเทศ เลยต้องรีบทำเวลาครับ”
“แต่ว่า…”
“ช่างเถอะพี่มันจู อย่าเรื่องมากเลย เขาจะว่าเอาได้” เจ้าหญิงน้อยโบกมือตัดบท ก่อนยกมือขึ้นนวดขมับ “ลิสสาเวียนหัวจัง พี่มันจูให้เขาขับช้าลงหน่อยสิจ๊ะ”
มันจูซึ่งเริ่มมีอาการวิงเวียนศีรษะไม่ต่างจากเจ้าหญิงน้อยยื่นหน้าไปบอกคนขับรถหนวดเฟิ้มเสียงเขียว
“ขับช้าๆ หน่อยคุณ เจ้าหญิงทรงเวียนพระเศียร”
ทว่านอกจากจะไม่ตอบแล้ว คนขับรถยังไม่ลดความเร็วลงแม้แต่น้อย สัญชาตญาณระวังภัยร้องเตือน มือบางเลื่อนแตะเขี้ยวเสือที่คอราวกับเป็นเครื่องรางสำคัญ
ตั้งแต่ได้เขี้ยวเสือมาเธอก็สวมติดกายตลอด เพราะทุกครั้งที่เกิดเหตุคับขัน ไม่นานก็จะมีคนมาช่วยให้รอดปลอดภัยราวกับปาฏิหาริย์ ทว่าดูเหมือนวันนี้เครื่องรางชิ้นนี้จะเสื่อมมนตร์ขลังเสียแล้ว เพราะสติสัมปชัญญะของเธอกำลังนับถอยหลังไม่ต่างจากพี่เลี้ยงที่พิงศีรษะกับพนักพิงไปแล้ว เธอเงยหน้าขึ้นสบตากับคนขับรถผ่านกระจกมองหลังแล้วเปล่งเสียงขุ่นเคืองก่อนสลบไป
“บัง…อาจ!”
“จนป่านนี้แล้วทำไมยังไม่โทรมารายงานอีก” เจ้าของเสียงเข้มเดินกลับไปกลับมาในห้องทำงานด้วยสีหน้าร้อนใจ “ให้มาพักในวังก็ไม่ยอม จะไปพักโรงแรมทำไมก็ไม่รู้”
หัวหน้านางกำนัลยิ้มแห้งๆ ก่อนตอบเสียงอ่อน
“ทางพูรัมแจ้งว่าเจ้าหญิงต้องการความเป็นส่วนตัวเพคะ จึงขอพักที่โรงแรม”
ดวงตาดำจัดเปล่งประกายกล้าบ่งบอกความเจ้าอารมณ์ก่อนแค่นเสียงฮึ
“อยู่โรงแรมดูแลความปลอดภัยลำบาก อยู่วังยังอุ่นใจกว่า ไกลหูไกลตาแบบนั้น เกิดอะไรขึ้นจะช่วยทันไหม”
เรือนกายสูงใหญ่ในชุดซัลวาร์ กามีซ* สีน้ำเงินเข้มแลดูบึกบึนตามแบบคนภูเขาเดินกลับไปกลับมาอีกสองสามรอบ เรียวคิ้วหนาบนกรอบหน้ารูปไข่ขมวดเข้าหากันรอบแล้วรอบเล่า
“ฝ่าบาททรงวางองครักษ์ไว้ทั่วโรงแรม คงไม่มีใครกล้าบุกเข้าไปทำร้ายเจ้าหญิงหรอกเพคะ”
“มาธุรี! เห็นว่าเป็นลูกสาวแม่นมแล้วเราจะไม่กล้าดุรึไง”
“โอ๊ย หม่อมฉันกลัวแล้วเพคะ”
ฌาร์มานแค่นเสียงฮึ นัยน์ตาดำจัดบนดวงหน้ารูปไข่ทอประกายวาววับ
ทว่าคนถูกเฉ่งกลับยังทำหน้าระรื่น หากเป็นผู้หญิงคนอื่นถูกมหาราชาจับจ้องไม่วางตา ถ้าไม่กลัวหัวหดก็คงอ่อนระทวยราวขี้ผึ้งลนไฟ แต่คนที่เห็นกันมาตั้งแต่เล็ก รู้นิสัยเจ้าอารมณ์ของอีกฝ่ายดีกลับหลงไม่ลง
เสียงส้นรองเท้าของมหาดเล็กประจำพระองค์ดังกระทบพื้นหินขัดนำมาก่อนที่เจ้าตัวจะวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในห้องทรงงาน
“แย่แล้วฝ่าบาท เจ้าหญิงหายไปพ่ะย่ะค่ะ”
“ลิสสาหายไป? หายได้ยังไง คนของเราหายไปไหน!”
เรียวคิ้วหนาของคนฟังมุ่นเข้าหากัน นัยน์ตาดำจัดวาวโรจน์ราวกับมีกองไฟนับพันสุมอยู่ในนั้น
“ตอนกระหม่อมไปถึงห้องรับรองที่สนามบิน คณะของเจ้าหญิงลิสสาก็หายตัวไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“คณะของลิสสามากันกี่คน”
“สี่คนพ่ะย่ะค่ะ”
“ทำไมมาแค่นั้น คนของพูรัมหายไปไหนหมด”
“ทรงลืมแล้วเหรอพ่ะย่ะค่ะว่าเจ้าหญิงเสด็จมาจากลอนดอน ไม่ได้มาจากพูรัม เจ้าหญิงไม่อยากให้เอิกเกริก ไม่โปรดความวุ่นวาย เลยขอให้ต้อนรับเป็นการส่วนตัว ไม่รบกวนประชาชน”
“ถึงคณะของลิสสาจะน้อย แต่คนของเรามีตั้งหลายคน ทำไมถึงปล่อยให้ลิสสาหายไปได้”
“คือไฟลต์จากลอนดอนมาถึงเร็วกว่ากำหนดพ่ะย่ะค่ะ ทาง ผ.อ. สนามบินบอกว่ากำลังจะส่งคนไปรับคณะของเจ้าหญิงที่เกต แต่มีเจ้าหน้าที่ชิงตัดหน้าไปก่อน”
“เจ้าหน้าที่? คนไหน”
ปานเดย์หน้าซีดเผือด ขนาดทำงานกับเจ้านายมานานเป็นสิบปี พอเจอแววตาดุดันกับน้ำเสียงแข็งกระด้างเอ็ดเข้าก็ชักใจฝ่อเหมือนกัน
“คือ…กระหม่อมเช็กกล้องวงจรปิดของสนามบิน ปรากฏว่ามีกลุ่มชายฉกรรจ์สวมชุดเจ้าหน้าที่ทูตกับชุดเครื่องแบบมหาดเล็กของวังไปรับเจ้าหญิงน้อยก่อนจะพากันไปยังประตูข้าง กระหม่อมตรวจสอบแล้วไม่คุ้นหน้าเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้ว ผ.อ. สนามบินว่ายังไง”
“พอกระหม่อมแจ้งว่าเจ้าหญิงน้อยเป็นแขกพิเศษของฝ่าบาท ท่าน ผ.อ. ก็เป็นลมไปเลยพ่ะย่ะค่ะ” องค์ราชันขบฟันกรอด มือหนากำเข้าหากันแน่นจนเห็นเส้นเลือดปูดโปน “กระหม่อมโทรศัพท์ไปยังโรงแรมที่ประทับ ปรากฏว่าเจ้าหญิงยังไม่ถึงที่ประทับพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมก็เลยประสานกับทางตำรวจให้เช็กกล้องวงจรปิดทุกจุดและติดตามคนร้ายอยู่”
ปัง!
เสียงฝ่ามือกระแทกโต๊ะทำงานทำให้สองหนุ่มสาวสะดุ้งเฮือก ดวงตาดำจัดกร้าวขึ้นจนแม้แต่มาธุรียังต้องก้มหน้างุด
“คาจาล!!!”
ชื่อ ‘ผู้ต้องสงสัย’ เพียงหนึ่งเดียวที่ฌาร์มานคาดว่าอยู่เบื้องหลังการลักพาตัวครั้งนี้ถูกเอ่ยขึ้น คาจาลเป็นทั้งแม่เลี้ยง อดีตมหารานีของกุณฑ์ชาลา และเป็นคู่แค้นของเขามาอย่างยาวนาน
แม้ก่อนหน้านี้คาจาลและพรรคพวกจะขอรอมชอมด้วยเงื่อนไขให้เขาแต่งงานกับหลานสาวของคาจาลเพื่อประสานรอยร้าวระหว่างสองขั้วอำนาจ แต่เขาไม่อาจรับความหวังดีประสงค์ร้ายนั้นได้
“จะทำยังไงดีพ่ะย่ะค่ะ”
ฌาร์มานไม่ตอบแต่ลุกขึ้นไปยืนอยู่ข้างหน้าต่าง กวาดสายตามองเทือกเขาที่ทอดตัวยาวอยู่เบื้องหน้าละม้ายกำลังข่มอารมณ์พลุ่งพล่านและกอบกู้สติกลับมาแก้ปัญหา อึดใจต่อมาเขาก็เดินกลับไปคว้าโทรศัพท์มือถือแล้วกดเข้าแอพพลิเคชั่นบนหน้าจอ ไม่นานสีหน้าคร้ามคมก็ผุดรอยยิ้มขึ้นบนเรียวปากหยักลึก
“ฉันรู้แล้วว่าลิสสาอยู่ที่ไหน!!!”