LOVE
ทดลองอ่าน ฌาลิสสา บทนำ-บทที่ 2
บทที่ 2
กลิ่นเหม็นอับเหมือนกลิ่นที่มักอบอวลในห้องปิดทึบปลุกร่างเล็กตื่นจากภวังค์ ดวงตากลมโตเบิกโพลงขึ้น สายตาระแวดระวังกวาดมองไปโดยรอบ สัญชาตญาณระวังภัยที่เจ้าหญิงน้อยสั่งสมมาหลายปีเตือนว่าเธอกำลังตกอยู่ในอันตราย
ตอนนี้เธอกำลังนั่งพิงเสาไม้ต้นใหญ่ภายในกระท่อมทรุดโทรมหลังหนึ่ง บนพื้นไม้กระดานปูด้วยฟางข้าว จังหวะขยับกายเตรียมจะลุกขึ้นเจ้าหญิงน้อยก็พบว่าตนเองถูกตรึงเอาไว้ด้วยเชือกหนาที่ผูกรั้งอยู่ตรงบั้นเอว
“ตื่นแล้วเรอะ!”
เจ้าหญิงน้อยหรี่ตาฝ่าเปลวแดดที่ส่องเข้ามาผ่านทางหน้าต่างเพื่อจับภาพเจ้าของเสียงแหบ เขาเป็นชายรูปร่างหนา สวมเสื้อผ้ามอซอ ที่เอวเหน็บปืนสั้นไว้สองกระบอก
“คุณเป็นใคร”
“เสือก!”
ต้องหยาบคายเบอร์นี้ไหม
ลลิสสาค่อนขอดในใจ แต่เพราะตนตกเป็นรองจึงได้แต่ข่มความไม่พอใจไว้ภายใต้สีหน้าเรียบเฉย
“แล้วพี่เลี้ยงฉันล่ะ คุณเอาเขาไปไว้ที่ไหน”
“โยนทิ้งข้างทางสิวะ กูจะหิ้วมันมาให้เกะกะทำไม”
“แล้วจับฉันมาต้องการอะไร”
“สวยๆ แบบมึง กูจะต้องการอะไรล่ะวะ”
โจรร่างหนาแสยะยิ้ม ดวงตาเรียวเล็กกวาดมองเหยื่อด้วยแววหื่นกระหาย ทำให้เจ้าหญิงพยายามขยับหนี แผ่นหลังก็เลยยิ่งชนกับเสา วินาทีจนมุมทำให้เธอก้มมองเขี้ยวเสือที่มักสวมติดคอ ทว่าบัดนี้มันกลับอันตรธานหายไป
“หาไอ้นี่อยู่เหรอ”
เขี้ยวเสือกลายเป็นเครื่องรางที่เธอสวมไว้เพื่อความอุ่นใจตลอดหลายปีมานี้ เธอจึงรู้สึกหวาดวิตกลึกๆ เมื่อมันตกอยู่ในมือคนอื่น แต่เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายจับพิรุธได้เลยแสร้งวางมาดเฉยแทน
“ทำไมเจ้าหญิงจากพูรัมถึงมีเขี้ยวเสือของไอ้พวกนักรบภูเขาวะ”
“ทำไมคิดว่าเป็นเขี้ยวเสือของพวกนักรบภูเขาล่ะ มันก็แค่เขี้ยวเสือธรรมดา แล้วรู้ได้ยังไงว่าฉันเป็นใคร”
“กูไม่ได้โง่โว้ย ข่าวในทีวีออกหราว่ามึงจะมาร่วมงานวันเกิดไอ้ฌาร์มาน”
เจ้าหญิงน้อยหรี่ตามองคนตรงข้าม น้ำเสียงแหบแห้งนั้นแฝงสำเนียงแบบคนฝรั่งเศส
“คุณไม่ใช่คนพูรัม”
“ก็ไม่ใช่น่ะสิวะ”
“แล้วก็ไม่ใช่คนกุณฑ์ชาลาด้วย แต่เป็น…คูชรี?”
คูชรีเป็นประเทศติดทะเลซึ่งมีพรมแดนติดกุณฑ์ชาลาและพูรัม เมื่อก่อนเคยตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสมาหลายสิบปี ชาวคูชรีจึงติดสำเนียงของเจ้าอาณานิคมกระทั่งถึงปัจจุบัน
“แล้วยังไง กูเป็นโจรจากคูชรีแล้วยังไง”
“เป็นแค่โจรเรียกค่าไถ่ แต่มีเส้นสายอยู่ในกรมพิธีการทูต เดินเข้าออกพื้นที่ชั้นในของสนามบินได้อย่างเปิดเผย แปลว่ามีคนใหญ่คนโตร่วมมือด้วยสินะ คงไม่ใช่โจรกระจอก หรือว่า…รานีคาจาล?”
โจรร่างหนาหน้าถอดสี แหวใส่เสียงเขียว “มึงแส่ให้มันน้อยๆ หน่อยอีเจ้าหญิง เพ้อเจ้อไม่เข้าท่า!!”
หญิงสาวยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มหยัน ดวงตากลมโตทอประกายวาวละม้ายตื่นเต้นที่ได้ค้นพบปริศนาสำคัญของโลก
“แปลว่าจริงสินะ รานีให้จับฉันทำไมล่ะ”
เท่าที่ลลิสสาได้ยินมา มหารานีคาจาลคือซูสีไทเฮาเวอร์ชั่นกุณฑ์ชาลา คอยบงการควบคุมราชสำนักชั้นในลามมาจนถึงอยู่เบื้องหลังกลุ่มอำนาจเก่าในกุณฑ์ชาลา ว่าแต่…มันเกี่ยวอะไรกับเจ้าหญิงจากพูรัมเล่า
“ฉันเป็นแค่เจ้าหญิงกิ๊กก๊อกจากพูรัม ไม่ใช่ทายาทสายตรง ไม่มีสิทธิ์ได้บัลลังก์ด้วยซ้ำ ฉันไม่มีอำนาจอะไรเลย จับฉันมาจะต่อรองอะไรได้ เสียเวลาเปล่า”
“เสือก!”
“พูดดีๆ ก็ได้ ไม่เห็นต้องหยาบคายเลย”
“กูจะพูดยังไงก็เรื่องของกู” โจรร้ายสาวเท้าเข้าหาด้วยท่าทีมุ่งร้าย “สวยๆ อย่างมึงไม่น่าสอดรู้เลย”
มือหนายื่นเข้ามาหมายจะบีบคางเจ้าหญิงน้อย แต่ปลายนิ้วยังไม่ทันเอื้อมถึงปลายคางมน เสี้ยววินาทีนั้นเองมีดโค้งก็พุ่งทะลุหน้าต่างแทงเข้าที่กลางฝ่ามือ ก่อนประตูไม้แผ่นหนาของกระท่อมจะล้มตึงในอีกไม่กี่วินาทีถัดมา ลลิสสาผินหน้าไปทางต้นเสียง หรี่ตามองใบหน้าของคนที่ไม่ได้พบมาเป็นแรมปี
“นมัสเต…เจ้าหญิงลิสสา!”
“ลุง!”
‘ลุง’ พยักหน้าทักทายก่อนสาวเท้าเข้ามายืนกลางห้องด้วยท่าทีเอื่อยเฉื่อย เขาสวมผ้าคลุมหนาสีดำยาวลงมาปิดเข่า เผยให้เห็นเพียงกางเกงพอดีตัวสีดำและรองเท้าบูตสีน้ำตาลขะมุกขะมอมดังเช่นทุกครั้งที่เจอกัน โจรร้ายนิ่วหน้า ถลันตัวลุกขึ้นทั้งที่บนฝ่ามืออาบด้วยเลือดสด
“ใครวะ!”
“พ่อมึงไง!”
เขากระตุกยิ้มร้ายกาจ ยกเท้าถีบเข้าที่กลางท้องจนอีกฝ่ายล้มตึงลงไปนอนกองกับพื้น รองเท้าบูตหนากดลงบนกลางอกอีกฝ่าย ก่อนก้มลงกระชากเขี้ยวเสือจากกระเป๋าเสื้ออีกฝ่ายแล้วยัดใส่กระเป๋ากางเกง
“อย่ามาแตะของของกู”
น้ำเสียงแข็งกร้าวดังขึ้นตามมาด้วยส้นรองเท้าบูตที่กระแทกเข้ากลางเป้ากางเกง ก่อนขยี้ซ้ำจนโจรร้ายแผดเสียงร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด
“มึงกล้าแตะลิสสา ต่อให้มึงไม่อยากตาย กูก็จะสงเคราะห์ให้”
ช่วงขายาวกำลังจะกระแทกลงที่กลางลำตัวอีกครั้ง แต่เสียงหวานใสกลับร้องห้าม
“อย่านะลุง…เราขอ”
“มันทำร้ายเธอ ไม่เห็นรึไง”
“เรารู้ แต่ถ้าลุงฆ่ามัน เราจะไม่รู้ว่าใครจ้างมันมา”
คนที่ถูกเรียกว่าลุงขบฟันกรอด วางเท้าลงบนพื้นไม้ ก่อนเดินไปแก้มัดร่างเล็กแล้วพยุงให้ลุกขึ้น แต่ทันทีที่เขาปล่อยมือ เรือนร่างบางก็เข่าอ่อนเกือบจะทรุดลงไปที่พื้น วงแขนแข็งแรงจึงรวบเอวหญิงสาวไว้ราวกับจะเป็นหลักให้
“ปล่อยเถอะลุง เรายืนได้”
“อย่าดื้อ!”
เขาส่งเสียงเข้มพลางขึงตาใส่ ก่อนเลื่อนแขนจากเอวขึ้นมาประคองไหล่บางแทน จังหวะที่กำลังจะเดินผ่านโจรร้าย สายตาของคนที่ผ่านการต่อสู้มาอย่างโชกโชนก็เหลือบเห็นประกายวาบของมีดเล็กในมืออีกฝ่ายเข้าพอดี ชายหน้าบากจึงยกส้นเท้ากระแทกเข้าที่ใบหน้าอีกฝ่ายจนเกิดเสียงกร๊อบ
“ลุง!”
“ไม่ตายหรอกน่า”
เขาประคองหญิงสาวร่างบางออกมายืนรับลมนอกกระท่อม กลิ่นเหม็นอับจากด้านในถูกแทนที่ด้วยกลิ่นฉ่ำชื้นของผืนป่า กลุ่มลมเย็นพัดโชยเข้ามาทักทายให้ความรู้สึกสดชื่นและเบาสบาย คนในอ้อมแขนขยับตัวออกอย่างเป็นธรรมชาติ
“สวมไว้สิ”
ลลิสสาก้มมองเขี้ยวเสือในมือลุง ก่อนวินาทีต่อมาเขาจะเป็นฝ่ายสวมสร้อยร้อยด้วยเขี้ยวเสือให้โดยที่เธอยังไม่ได้ร้องขอ