ในสายตาเหล่าตระกูลขุนนาง พฤติกรรมของอวี๋เหวินจวิ้นนั้นอกตัญญูมากอย่างไม่ต้องสงสัย หลายคนที่อ้างตนเป็นผู้ยึดถือคุณธรรมวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง แต่ก็มีคนบางส่วนที่ไม่ได้สนใจหลักคำสอนช่วยพูดแทนอวี๋เหวินจวิ้น แต่เพราะบ้านเมืองกำลังวุ่นวาย จึงส่งผลกระทบต่ออวี๋เหวินจวิ้นไม่มาก อวี๋ชิงจยาอยู่ในเรือนอันเงียบสงบที่ห้อมล้อมไปด้วยต้นไม้ใบหญ้า ทุกๆ วันดีดพิณ วาดรูป อ่านตำรา เขียนอักษร ชีวิตเป็นไปอย่างสงบสุขและผ่อนคลายสบายใจ ไม่ว่าคนภายนอกจะวิจารณ์อย่างไรก็ล้วนไม่เกี่ยวกับนาง
พวกไป๋จื่อพูดเกี่ยวกับสกุลอวี๋สองสามประโยคแล้วพากันเปลี่ยนเรื่อง ครึ่งเดือนที่ผ่านมาชีวิตความเป็นอยู่เงียบสงบ สามารถตัดสินใจเองได้ในทุกเรื่อง เมื่อได้ฟังเรื่องของคนนั้นคนนี้ในสกุลอวี๋ก็ราวกับเป็นความฝัน พวกนางพูดคุยกันเรื่อยเปื่อย และประเด็นสนทนาก็ค่อยๆ เข้าสู่เหตุการณ์ในเมืองหลวง
เดือนสาม แม่ทัพอาวุโสเกิ่งเดินทางกลับเมืองหลวงตามพระราชโองการ แม้จะบอกว่าพระราชโองการเขียนด้วยมือของฮ่องเต้ แต่ใครๆ ก็รู้ว่านี่คือแผนชั่วของอัครมหาเสนาบดี แม่ทัพอาวุโสเกิ่งเข้าเมืองเยี่ยเฉิง แม้จะมีความสามารถติดตัว แต่สองกำปั้นจะเอาชนะสี่มือได้อย่างไร เมื่อประตูเมืองปิดลง แม่ทัพอาวุโสเกิ่งก็ไม่ต่างอะไรจากปลาบนเขียง
ทุกคนต่างจับตาดูการเคลื่อนไหวในเมืองหลวงอยู่ตลอด ในด้านหนึ่งพวกเขารู้สึกวิตกกังวลแทนแม่ทัพอาวุโสเกิ่ง อีกด้านหนึ่งก็รู้สึกว่าอิ่นอี้คุนเป็นคนถ่อยที่ฉวยโอกาส กล้าแตะต้องแม่ทัพอาวุโสเกิ่งผู้มีผลงานรบโด่งดังได้อย่างไร แต่เดือนหกในปีนี้มีข่าวมาจากเมืองหลวงกะทันหันว่าอิ่นอี้คุนส่งคนไปจับกุมแม่ทัพอาวุโสเกิ่ง
เรื่องใหญ่เช่นนี้แม้แต่บ่าวหญิงในตระกูลอย่างไป๋จื่อก็ยังได้ยิน พวกนางกังวลใจอยู่ครึ่งค่อนวัน สุดท้ายก็หันมามองหน้ากัน แล้วถอนหายใจด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง
สถานการณ์บ้านเมืองย่ำแย่ คนชั่วใช้อำนาจบาตรใหญ่ ชีวิตคนแย่เสียยิ่งกว่าต้นหญ้าในถิ่นทุรกันดาร
ไป๋หรงฟังนิ่งๆ หลังผ่านไปครู่หนึ่งนางก็จากไปอย่างเงียบๆ
อวี๋เหวินจวิ้นออกมาจากสกุลอวี๋อย่างเร่งรีบ เห็นได้ชัดว่าไม่มีทางหาที่พักที่เหมาะสม เงียบสงบ และปลอดภัยเช่นนี้ได้ในทันที ที่บอกว่าเป็นเรือนที่สหายไม่ได้ใช้ล้วนเป็นข้ออ้างทั้งนั้น
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเดิมทีพื้นที่เรือนแห่งนี้เป็นทรัพย์สินส่วนตัวของมู่หรงเหยียน ตอนนี้แค่อ้างในนาม ‘สหาย’ ของอวี๋เหวินจวิ้นให้ใช้อย่างเปิดเผยเท่านั้น ก่อนหน้านี้ที่เจ้าของเรือนในนามมารอตรงหน้าประตูด้วยตนเอง จุดประสงค์ไม่ใช่เพื่อต้อนรับอวี๋เหวินจวิ้น แต่ต้อนรับมู่หรงเหยียนต่างหาก
ไป๋หรงไปที่พักของมู่หรงเหยียนเงียบๆ ข่าวของเมืองเยี่ยเฉิงในช่วงหลายวันมานี้แพร่ไปทั่วราวกับปุยหิมะลอยละล่อง มู่หรงเหยียนกลับมาอยู่ในที่ของตนเอง จึงไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวโดยคำนึงถึงผู้อื่นอีก สิ่งที่ต้องทำในแต่ละวันจึงเยอะมาก ไป๋หรงคิดว่าวันนี้มู่หรงเหยียนจะหารือกับขุนนางที่ปรึกษา แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้ กลับพบว่าหน้าประตูและตัวเรือนบรรยากาศดูเคร่งเครียด ข้ารับใช้ต่างปล่อยแขนลงและยืนเฝ้าอยู่ข้างนอกอย่างเคร่งขรึม
ไป๋หรงได้รับความกดดันโดยไม่รู้ตัว นางลดเสียงลงและกระซิบถาม “เกิดอะไรขึ้น”
“วันนี้เจ้านายตื่นขึ้นมาด้วยสีหน้าไม่ปกติ จนถึงตอนนี้ก็ไม่ยอมให้คนนอกเข้าไปรบกวน”
ไป๋หรงส่งเสียงร้องประหลาดใจ คุณชายตื่นขึ้นมาท่าทางไม่ปกติ หรือว่าจะฝันไม่ดี หลังจากคิดเช่นนี้ไป๋หรงก็รู้สึกไม่เชื่อ คนอย่างคุณชายจะได้รับผลกระทบทางอารมณ์จากความฝันเนี่ยนะ
ภายในห้อง ผมยาวของมู่หรงเหยียนรวบด้วยเกี้ยว อาภรณ์สีขาวหมดจดตลอดทั้งร่าง เขายืนอยู่ข้างหน้าต่าง นิ้วมือเย็นเฉียบ เห็นได้ชัดว่ายืนอยู่ตรงนี้มานานแล้ว
มู่หรงเหยียนเคยหัวเราะเยาะให้กับการตีความความฝัน และยิ่งนึกดูแคลนคนที่คิดว่าความฝันจะเป็นจริง แต่เมื่อวานนี้เขาฝันถึงเรื่องหนึ่ง
ในความฝันเขามองเห็นเปลวไฟสูงเสียดฟ้าที่เมืองเกาผิง ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยกล่าวอย่างเย็นชาว่า ‘ในเมื่อนางไม่อยู่แล้ว เช่นนั้นจะเหลือจวนสกุลอวี๋ไปด้วยเหตุใดอีก’
นั่นคือเสียงของเขาเอง
ความฝันมาอย่างกะทันหัน และจบลงอย่างรวดเร็ว มู่หรงเหยียนยืนอยู่ที่นี่ตลอดตั้งแต่ที่ตื่นขึ้นมา ไม่ได้ขยับออกจากตำแหน่งนี้แม้แต่น้อย เขาหยุดคิดไม่ได้ว่าความฝันนั้นหมายความว่าอย่างไร ‘นางไม่อยู่แล้ว’ ที่พูดออกมาหมายความว่าอย่างไร
ในความฝันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ถึงทำให้นางจากข้าไป
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 31 ก.ค. 67