เซวียนชิงกระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง ลอบตระหนกอยู่ในใจ นี่คือตะปูตรึงวิญญาณ เป็นวิชาบ่อนทำลายดวงจิตที่ก่อความเสียหายต่อทั้งสองฝ่าย ถือเป็นวิชาต้องห้ามของพิภพสวรรค์มานานแล้ว ยามนี้เพื่อจะจัดการเขา จื่ออินถึงขั้นไม่สนใจดวงจิตตนเอง
“สมน้ำหน้านักที่เจ้าหนีมาพิภพมนุษย์ ตอนนี้ที่นี่นอกจากสัตว์อสูรที่ดุร้ายแล้วก็ไร้สิ่งมีชีวิตอื่นอีก ไม่มีใครมาช่วยเจ้าได้แล้ว ข้าจะกักตัวเจ้าไว้ที่นี่ ทรมานให้สาแก่ใจก่อนค่อยฆ่าทิ้ง จะได้ไม่ปล่อยให้เจ้าสบายเกินไป” จื่ออินเหินร่างมาถึงเบื้องหน้าเซวียนชิง ก่อนจะใช้คมกระบี่สะกิดสายคาดเอวของอีกฝ่ายพลางยิ้มหยันและเอ่ยอย่างโหดเหี้ยม “ข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มลองความรู้สึกของการสิ้นทายาทดูเสียบ้าง สะบั้นกล่องดวงใจของเจ้าทิ้งก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากัน”
เซวียนชิงเงยหน้าขึ้นทันใด “ช้าก่อน! ขอเพียงท่านยอมปล่อยข้าไป ข้าจะช่วยท่านตามหามหาเทพบรรพกาลจ่งเสิน* นางควบคุมดูแลการกำเนิดและการขยายพงศ์พันธุ์ของสรรพชีวิต มีนางอยู่ ท่านจะต้องมีทายาทได้อีกแน่!”
จื่ออินพ่นลมขึ้นจมูกอย่างดูแคลน “จ่งเสินก็เป็นแค่ตำนานเล่าขานเท่านั้น เจ้าเห็นข้าเป็นเด็กสามขวบหรือไร!”
“ที่ข้าพูดมานี้ไม่ใช่คำลวงแน่นอน! ข้าได้ยินว่าสรรพชีวิตทุกฝ่ายในสามพิภพต่างก็แอบตามหานางมานานแล้ว!”
“ถุย! ต่อให้จ่งเสินปรากฏตัวขึ้นจริง ดูจากความวุ่นวายของสามพิภพในเวลานี้ ขอเพียงเป็นบุรุษเพศก็ต้องโผล่หัวออกมายื้อแย่งนางกันทั้งนั้น ข้าจะไปมีโอกาสชนะสักเท่าไรเชียว นี่เจ้ากำลังสร้างศัตรูนับพันนับหมื่นให้ข้าอยู่ชัดๆ ช่างคิดคำนวณได้เก่งนักนะ!”
“…”
จื่ออินยกกระบี่ตั้งขึ้นตรงหว่างคิ้ว เริ่มท่องคาถา ฉับพลันก็ชี้กระบี่ไปเบื้องหน้า พาให้ชั้นเมฆม้วนตลบดุจเกลียวคลื่น สีท้องฟ้าขมุกขมัวทันใด หมอกสีดำพุ่งมาจากรอบด้าน นัยน์ตาสีแดงเลือดทั้งคู่ของเขาปรากฏให้เห็นรำไรท่ามกลางหมอกสีดำนั้น
“ไม่ว่าจ่งเสินจะปรากฏตัวขึ้นมาหรือไม่ ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่มีทางยื้อเวลาออกไปได้อีกแล้ว ข้าจะตอนเจ้าทิ้งประเดี๋ยวนี้”
เซวียนชิงถูกหมอกสีดำห่อหุ้มไว้จนไม่อาจขยับเขยื้อน ได้แต่เบิกตามองกระบี่ที่มีไอมารเข้มข้นเล่มนั้นเขี่ยสายคาดเอวของเขาออก ตามติดด้วยหนึ่งกระบี่ที่ทั้งฉับไวและดุดัน กับโลหิตสดๆ ที่อาบท่วม
เขาร้องโหยหวนหนึ่งหน ขณะที่แขนขาทั้งสี่ข้างยังถูกพันธนาการอยู่ ร่างกายโน้มมาข้างหน้า อาภรณ์สีขาวค่อยๆ ถูกเลือดสดย้อมจนแดงฉาน
“ฮ่าๆๆ” จื่ออินจรดกระบี่ยาวลงกับพื้น เปล่งเสียงหัวเราะร่วน ชุดยาวแขนกว้างสีม่วงที่อยู่บนร่างกระพือลมบังเกิดเสียงดังพึ่บพั่บ
เซวียนชิงก้มหน้าหอบหนักไม่หยุด เนิ่นนานถึงข่มกลั้นความเจ็บปวดลงไปได้ เขาช้อนตาขึ้นถลึงจ้องอีกฝ่ายเขม็ง “เจ้าอำมหิตถึงเพียงนี้ เสียทีที่เป็นถึงเทพระดับสูง!”
“สามพิภพสิ้นระเบียบ พลังชีวิตโรยรา ข้าแม้เป็นเทพโดยกำเนิด แต่สุดท้ายก็ต้องดับสูญไปอยู่ดี เทพเยี่ยงนี้ไม่เป็นก็ช่างปะไร!” เพียงจื่ออินโบกมือ ตะปูตรึงวิญญาณก็เสียบลึกเข้าไปอีก รอยยิ้มของเขาก็ยิ่งเบิกบานสำราญใจขึ้นตามไปด้วย
เซวียนชิงเป็นตะคริวไปทั้งร่าง หลุดเสียงร้องครวญครางออกมาอีกหน ขณะที่เหงื่อกาฬไหลอาบลงมาโซมกาย ดวงตาก็ถลึงจ้องอีกฝ่าย “ข้าถูกเหยียดหยามให้ต้องอัปยศถึงเพียงนี้ ต่อให้ตายอยู่ที่นี่ก็จะไม่ยอมถูกเจ้าทรมานต่อไปเด็ดขาด!” ร่างกายของเขาโน้มไปเบื้องหน้ามากขึ้นพลางออกแรงดึงแขนขา ส่งผลให้ตะปูตรึงวิญญาณสี่ตัวนั้นจมมิดเข้าไปในเนื้อหนัง และทำให้แผ่นหลังของเขาค่อยๆ ผละห่างออกมาจากหน้าผาได้
“อย่าโทษว่าข้าไม่ได้เตือนเจ้าก็แล้วกัน หากยังฝืนให้หลุดจากตะปูตรึงวิญญาณเช่นนี้ เจ้าจะต้องแตกดับทั้งสังขารและดวงจิตเชียวนะ” จื่ออินมองเซวียนชิงเฉกเช่นกำลังดูมดปลวกตัวหนึ่งกระเสือกกระสนเฮือกสุดท้าย
เซวียนชิงไม่ได้ผ่อนแรงเลย ราวกับได้ลืมเลือนความเจ็บปวดไปสิ้นแล้ว ในที่สุดเขาก็หลุดพ้นจากพันธนาการทั้งปวง ร่วงลงบนพื้นพร้อมกับผงฝุ่นที่ลอยฟุ้ง
โลหิตสดๆ ซึมแทรกเข้าสู่ผืนดินที่แตกระแหง ในสายลมคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือด เสียงแผดร้องของสัตว์ร้ายเริ่มดังมาจากบริเวณที่ห่างไกล เขาฟุบอยู่บนพื้นดุจว่าวที่ขาดวิ่น แม้แต่เสียงครวญครางก็แผ่วโผยจนแทบจะไม่ได้ยิน