เฟิงจงแกว่งไกวสองเท้าอยู่บนบ่าของเสี่ยวเฮยพลางจดจำคำพูดของเขาอย่างตั้งอกตั้งใจไปทีละอย่าง ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งที่ตั้งของสถานที่เหล่านั้น รวมไปถึงชนเผ่าที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น มหาเทพหนี่ว์วาบอกว่าเหล่านี้ล้วนเป็นสถานที่ซึ่งนางจะต้องปกปักรักษา ฉะนั้นนางต้องทำความคุ้นเคยให้มากถึงจะได้
หลังจากนั้นไม่นานมหาเทพหนี่ว์วาก็มาอำลานาง
เฟิงจงขยุ้มชายอาภรณ์ของมหาเทพหนี่ว์วาไว้แน่น ไม่ยอมให้อีกฝ่ายจากไป มหาเทพหนี่ว์วาเป็นทั้งมารดาและอาจารย์ผู้มีพระคุณ ทุกสิ่งทุกอย่างของตนล้วนได้มาจากนางทั้งสิ้น กระทั่งอาภรณ์ที่สวมใส่อยู่นี้มหาเทพหนี่ว์วาก็เป็นผู้ทำให้เองกับมือ แม้แต่มวยผมบนศีรษะก็ล้วนได้นางเป็นผู้หวีเกล้าให้ด้วยตนเอง ทว่าบัดนี้นางกำลังจะลาจากตนไปเสียแล้ว
ดวงหน้าของมหาเทพหนี่ว์วายังคงเปี่ยมด้วยความเมตตาเช่นที่เคยเป็นมา ‘จำไว้ว่าเจ้าคือจ่งเสิน จงจดจำถ้อยคำที่ข้าเคยพูดกับเจ้าไว้ทุกประโยค และจดจำหน้าที่ของเจ้าให้ดี’
จบคำนางก็จากไป มหาเทพฝูซีคือผู้ที่จากไปพร้อมกับนาง ว่ากันว่าทั้งสองไปยังทิวเขาสุดเขตบูรพาของพิภพสวรรค์ และจะไม่หวนกลับมาอีกตลอดกาล
จ่งเสินเช่นนางยังจำเป็นต้องรั้งอยู่ในพิภพมนุษย์ต่อไป เฟิงจงได้แต่นั่งมองฟ้าอยู่บนยอดเขาหลักของทิวเขาเจ้ามารดร ส่วนเสี่ยวเฮยที่เอ่ยวาจาสละสลวยมาปลอบโยนนางไม่เป็นนั้นก็แค่นั่งมองฟ้าอยู่กับนางโดยไม่พูดจา
แต่เพียงไม่นานเฟิงจงก็ฮึกเหิมขึ้นมาอีกครั้ง มหาเทพหนี่ว์วาเป็นเทพผู้สร้างโลก สรรพสิ่งในใต้หล้าล้วนได้มหาเทพหนี่ว์วาเป็นผู้สร้างขึ้น ทุกสิ่งที่นี่จึงถือเป็นตัวแทนของอีกฝ่าย ในเมื่อนางยังอยู่ในโลกใบนี้ ก็เท่ากับนางยังอยู่เคียงข้างมหาเทพหนี่ว์วา ดังนั้นการปกปักรักษาสรรพสิ่งในใต้หล้านี้ไว้ให้ดีจึงถือเป็นหน้าที่ของนาง
เสี่ยวเฮยติดตามเฟิงจงออกท่องไปในพิภพมนุษย์ ค่อยๆ ขจัดสิ่งที่พิบัติภัยเหลือทิ้งเอาไว้ไปทีละนิด กระตุ้นการเจริญเติบโตของสรรพสิ่งไปทีละน้อย
เฟิงจงผู้ซึ่งยังเป็นเด็กสาวนั้นมีรูปร่างบอบบาง ผิดกับเสี่ยวเฮยที่สูงใหญ่ขึ้นทุกวัน เสียงก็ค่อยๆ ใหญ่ขึ้นตามไปด้วย บางครั้งยามที่จำเป็นต้องปีนขึ้นที่สูงเพื่อทอดตามองออกไปไกลๆ เพียงแค่นางยืนอยู่บนบ่าของเขาก็แทบจะเหมือนกับยืนอยู่บนภูเขาลูกย่อมแล้ว
ทว่าต่อมาไม่อาจทำเช่นนั้นได้อีก เพราะนางเองก็เติบใหญ่แล้ว นางได้ย่างเข้าสู่วัยสาวเต็มตัวแล้วจริงๆ แม้การเจริญเติบโตของนางจะผ่านไปอย่างเชื่องช้าก็ตาม ฝ่ายเสี่ยวเฮยเองก็ยิ่งเป็นหนุ่มวัยฉกรรจ์แล้ว ไม่อาจใช้ ‘ภูเขาลูกย่อม’ มาพรรณนาถึงส่วนสูงของเขาได้อีก
ในช่วงเวลานั้นขอเพียงพิภพมนุษย์มีแห่งหนใดรกร้าง ก็จะมีคนพบเห็นเทพธิดารูปกายอรชรผู้หนึ่งผ่านไปยังสถานที่แห่งนั้น มือซ้ายของนางช้อนรองแจกันหยกสีน้ำเงิน มือขวากุมคทาหม่อนมังกร เบื้องหลังมียักษ์หนุ่มผู้หนึ่งคอยติดตาม ทิ้งรอยเท้าขนาดใหญ่มหึมาไว้ทุกแห่งที่ผ่าน ทว่าทันทีที่คทาหม่อนมังกรในมือของเทพธิดาวางตั้งขึ้น รอยเท้านั้นก็หายไป ผืนดินที่แห้งเกรียมแปรเปลี่ยนเป็นที่นาอันอุดมสมบูรณ์ สรรพสิ่งเจริญงอกงาม บรรดาสรรพสัตว์ขยายเผ่าพันธุ์ออกไป และรวมกลุ่มกันเป็นฝูง เปลี่ยนแปลงพื้นที่แห่งนั้นไปโดยสิ้นเชิง
กาลเวลาหลายพันปีล่วงผ่านเพียงชั่วดีดนิ้วมือ เมื่อพิภพมนุษย์ค่อยๆ รุ่งเรืองเฟื่องฟู บุตรหลานล้นหลาม จารีตสมบูรณ์พร้อม เมื่อวันเวลาผันเปลี่ยน พวกเขาก็เริ่มแยกตัวออกจากเทพเซียนมารปีศาจได้ทีละน้อย และสามารถรับภาระหน้าที่ได้โดยลำพังมากขึ้น คุณงามความชอบนี้ทำให้นามของเฟิงจงถูกจารึกบนทำเนียบเทวะ นางรับตำแหน่งจ่งเสินได้อย่างภาคภูมิใจ และสามารถกลับไปยังพิภพสวรรค์ได้แล้ว
แต่นึกไม่ถึงว่าตอนนี้นางกลับพบเจออวี้ถูเข้า