เฟิงจงเอนกายกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่บนก้อนเมฆ ยามนี้ห่างจากทางเข้าระหว่างพิภพสวรรค์มาไกลมากแล้ว
ฉยงฉีที่อยู่ข้างกายรู้สึกหิวตั้งแต่แรก ทว่าเห็นนางอยู่ในสภาพนี้แล้ว มันถึงกับเกรงใจที่จะขออาหารกับนาง ได้แต่กลืนน้ำลายเงียบๆ เลียอุ้งเท้าจ้ำม่ำของตนไปพลางก่อน
ทันใดนั้นก็มีเสียงต่อสู้ดังมาแต่ไกล กลิ่นอายของเทพเซียนและปีศาจมารผสมปนเปกันจนสับสนยุ่งเหยิง เฟิงจงยกศีรษะขึ้นนิดๆ…ดูเหมือนกลิ่นอายเหล่านั้นจะแผ่ซ่านมาจากทางตะวันออกเฉียงใต้
ถูซานสือฟางนั่งอยู่ด้านข้าง “ข้าจะบอกให้นะ อย่างเจ้าในพิภพมนุษย์นี่เรียกว่าหญิงงามผู้ก่อหายนะ กระทั่งต๋าจี่* บรรพชนของข้าไต้อ๋องก็เกือบจะเทียบเจ้าไม่ได้แล้ว”
เฟิงจงหัวเราะหึๆ “ช่างน่าขันนัก ที่แท้เทพเซียนก็ใส่ใจเรื่องทายาทกันถึงเพียงนี้ เช่นนั้นยังจะต่างอะไรกับมนุษย์ปุถุชนเล่า”
“เจ้าพูดได้ถูกต้องยิ่งนัก พิภพมนุษย์ไร้ผู้คนแล้ว เทพสวรรค์ก็เลยตกชั้นมาเป็นมนุษย์แทน”
ขอบฟ้าปกคลุมไปด้วยเมฆสีเลือดที่ประเดี๋ยวก็รวมตัวประเดี๋ยวก็แผ่ขยาย รอบด้านพลันอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของปีศาจมารรุนแรง ถูซานสือฟางพลันยืนขึ้น ครั้นเห็นแต่ไกลว่ามีปีศาจมารกลุ่มหนึ่งกำลังไล่ล่ามาทางนี้ เขาก็รีบเปลี่ยนทิศทางของก้อนเมฆในทันที
“เป็นกลิ่นอายของคทาหม่อนมังกร จ่งเสินต้องอยู่ทางนั้นแน่นอน!”
“ต้องเป็นเจ้าหนูนั่นแน่ๆ ที่ฉกชิงจ่งเสินไป ฆ่ามันทิ้งแล้วชิงตัวจ่งเสินมา!”
ลูกธนูคำรามแหวกอากาศมาพร้อมพลังของปีศาจมาร ทว่าพอเข้าใกล้เป้าหมาย ลูกธนูกลับถูกลมพายุม้วนตีกลับไป ปีศาจมารที่นำหน้าอยู่ก็ถูกกวาดล้มลงหลายตนในพริบตา ถูซานสือฟางหยุดมือก่อนจะตำหนิเสียงทุ้ม “ปีศาจมารก็ไม่รู้จักมารยาทเช่นนี้เองหรือ การชิงตัวฮูหยินกองโจรทำกันเช่นนี้เมื่อไรเล่า”
การจู่โจมมุ่งมายังถูซานสือฟางมากขึ้นทุกที เฟิงจงรู้ดีว่าเขาได้กลายเป็นเป้าหมายของทุกคนไปแล้วจึงรีบเงยหน้าขึ้นกล่าว “ไปที่ทางเข้าระหว่างพิภพมนุษย์เถอะ ข้าจะกลับพิภพมนุษย์”
“ตอนนี้ก็ได้แต่ส่งเจ้ากลับไปแล้ว” ถูซานสือฟางเหลือบมองกลุ่มปีศาจที่ไล่หลังมา ก่อนจะเอ่ยพลางทอดถอนใจ “เจ้าหายนะ เห็นทีว่าข้าไต้อ๋องคงไม่มีวาสนาจะได้อิ่มเอมใจกับปราณมนุษย์ของเจ้าต่อแล้ว”
เฟิงจงกวักมือเรียกเขา พอถูซานสือฟางย่อกายลงก็เห็นนางกัดนิ้วมือจนได้แผล จากนั้นนางก็เลิกแขนเสื้อของเขาขึ้น และแต้มเลือดไว้บนข้อมือของเขา “หากวันหน้าเจ้ารู้สึกว่าไม่อาจประคับประคองตนได้แล้ว เจ้าก็อาศัยกลิ่นเลือดนี้มาหาข้าได้ ถึงตอนนั้นข้าจะหล่อเลี้ยงเจ้าต่อ ถือเป็นการตอบแทนความช่วยเหลือของเจ้าในครั้งนี้”
ถูซานสือฟางก้มหน้ามองข้อมือของตนเองใกล้ๆ “เหตุใดจุดแต้มนี้จึงดูคล้ายชาดพรหมจรรย์** ของพิภพมนุษย์นักเล่า”
“อะไรคือชาดพรหมจรรย์หรือ”
“โอ๊ะ…เป็นแม่นางน้อยก็อย่าได้ถามมากความเช่นนี้”
“…”
ตอนนี้เองปีศาจมารที่อยู่เบื้องหลังพลันแผดเสียงร้องโหยหวน เฟิงจงสูดได้กลิ่นอายของเทพเซียนในทันที รอจนลุกขึ้นนั่งแล้วมองไปทางด้านหลัง นางก็เห็นเทพเซียนหนุ่มสองคนร่วมแรงกันสังหารปีศาจมารกลุ่มนั้นเกือบหมดสิ้นแล้ว ผู้หนึ่งสวมชุดสีคราม สีหน้าหยิ่งทะนง อีกผู้หนึ่งอยู่ในชุดสีเขียวอมดำ คิ้วเข้มตาโต
“สองคนนี้ท่าทางจะหมายมั่นเอาไว้มาก” ถูซานสือฟางรีบขี่เมฆมุ่งหน้าไปยังทางเข้าระหว่างพิภพมนุษย์โดยไม่รอช้า