บทที่ 3
“อยู่ไหนตางค์ ยังมาไม่ถึงอีกเหรอ” เสียงเร่งเร้าทางโทรศัพท์ทำให้ลตางค์ที่กำลังซอยเท้าเดินไวจนเกือบกลายเป็นวิ่งหน้าเปลี่ยนสี
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนภายใต้กรอบแว่นตาสีม่วงเข้มฉายแววหวาดเพราะกำลังนึกภาพใบหน้าของคนพูดไปพร้อมกันด้วย เธอพยายามเดินเลี่ยงผู้คนที่เดินประปรายอยู่ตรงหน้าด้วยจังหวะฝีเท้าที่ช้ากว่าอย่างรีบเร่ง แต่ดูเหมือนจะเร็วไม่ได้อย่างใจนัก
อาการกระหืดกระหอบ สองมือหอบกระเป๋าเอกสารพะรุงพะรัง และบนไหล่มีสายสะพายของกระเป๋าสำหรับใส่คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก ทำให้ลตางค์ที่ดูตัวเล็กอยู่แล้วเหมือนเด็กยิ่งขึ้นไปอีก
“กำลังลงรถไฟฟ้าค่ะคุณปาน อีกไม่เกินสิบนาทีน่าจะถึง”
“รถไฟฟ้า! ป่านนี้แล้วเนี่ยนะ เร็วหน่อยได้ไหม นี่มันประชุมกับผู้บริหารนะ ไม่ใช่นัดเดต”
“ขอโทษค่ะ” ลตางค์ไม่รู้จะพูดอะไรดีไปกว่านั้น แม้รู้ว่าการที่ปานทิพย์…หัวหน้าฝ่ายของเธอลืมเอกสารที่ต้องใช้ประชุมไว้ที่บ้านไม่ใช่ความผิดของตัวเอง
ที่รู้และทำให้ร้อนใจมีแค่การประชุมที่กำลังรอเอกสารทั้งหมดนี้สำคัญมาก แต่ที่พักของปานทิพย์ที่อยู่ไกลจนเกือบจะถึงชานเมืองทำให้เธอไปกลับไวกว่านี้ไม่ได้จริงๆ
“ให้อีกแค่ห้านาที รีบวิ่งเดี๋ยวนี้เลย เร็วเข้า” กระแสหงุดหงิดในเนื้อเสียงของปานทิพย์ทำให้ลตางค์ต้องรีบรับคำ เร่งฝีเท้าไวขึ้นทั้งที่เหนื่อยเอาเรื่องอยู่แล้ว พลางนึกห่วงสถานภาพการทำงานของตัวเองในเวลานี้ที่ยังเป็นเพียงแค่พนักงานทดลองงานเท่านั้น
จะผ่านทดลองงานไปได้หรือเปล่า ทำไมมันถึงได้ดูเหมือนจะยากลำบากขึ้นทุกวันแบบนี้นะ
คิ้วเหนือขอบตาซึ่งคล้ำน้อยๆ ขมวดเข้าหากัน รู้ตัวว่าวันนี้หน้าตาตัวเองคงดูไม่ค่อยดีนัก หมู่นี้เธอยุ่งหลายอย่าง ทั้งงานประจำตอนกลางวันและงานส่วนตัวที่เธอรัก หลายคืนแล้วที่ลตางค์ได้นอนเกินสามชั่วโมงไปไม่กี่มากน้อยเพราะมัวเขียนนิยาย แม้จะเพลียเพราะพักผ่อนน้อย แต่ลตางค์ก็ไม่คิดใช้เป็นข้ออ้างอิดออดเวลาที่ต้องทำงานประจำ ตรงข้าม เธอกลับยิ่งพยายามให้หนักขึ้นเพราะไม่อยากให้ใครว่าเอาได้ว่าทำงานส่วนตัวจนพานเสียไปหมด
แม้วันนี้จะสามารถทำให้ความฝันที่อยากจะเป็นนักเขียนเกิดขึ้นได้จริงแล้ว แต่ลตางค์ก็ยังอยากทำงานประจำตามที่ร่ำเรียนมา และหวังว่าจะประคับประคองทั้งสองงานไปพร้อมกันให้ได้จนสุดความสามารถ
ลตางค์สาวเท้าไวไปตามทางเชื่อมระหว่างสถานีรถไฟฟ้าที่ทอดยาวไปสู่ศูนย์การค้าชื่อดัง ซึ่งเป็นเส้นทางไปสู่อาคารสำนักงานของบริษัทที่เธอเพิ่งได้เข้าเป็นลูกจ้างซึ่งเช่าพื้นที่อยู่ถึงสองชั้น เอกสารในมือที่ทำท่าจะเลื่อนหลุดทำให้ลตางค์ต้องเลื่อนปลายนิ้วไปประคอง แต่ก็พลาดทำร่วงเสียงดังจนได้
“โอ๊ย! ยิ่งรีบยิ่งช้า” ลตางค์ครางกับตัวเองพลางรีบก้มลงเก็บแฟ้มงาน พอเงยหน้าขึ้นมา สายตาก็ดันสะดุดเข้ากับร่างเล็กของเด็กหญิงที่น่าจะอายุไม่ถึงห้าขวบ กำลังทำท่าละล้าละลังเบะปากเตรียมจะร้องไห้รอมร่ออยู่ไม่ไกลนัก
เด็กหลงทางหรือเปล่า…พ่อแม่ไปไหนกัน
ผู้คนที่เดินไปมาบางตาและไม่มีทีท่าจะสนใจเด็กหญิงเลยสักนิด ทำให้ลตางค์รู้สึกไม่สบายใจจนเริ่มหันรีหันขวาง สงสารเด็กพอๆ กับที่นึกห่วงเจ้านายซึ่งกำลังรอเอกสารเข้าประชุม
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำศูนย์การค้าอยู่ไม่ไกลนัก ทำให้เธอนึกหวังว่าเดี๋ยวเขาคงจะเข้ามาดูแลให้ความช่วยเหลือเด็กน้อย จึงตัดใจก้าวเท้าเดินต่อเพื่อไปทำธุระของตัวเอง แต่ก็ยังอดปรายหางตามองไม่ได้ว่าเจ้าหน้าที่ที่เธอแอบฝากความหวังไว้จะเข้าไปหาเด็กหญิงแล้วหรือยัง
“อ้าว!”
ร่างของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่หายลับตรงซอกข้างร้านแห่งหนึ่งก่อนที่จะเดินมาถึงเด็กหญิงทำให้ลตางค์ร้องออกมา คราวนี้สองเท้าของเธอหยุดนิ่ง ลังเลทันที