เฉิงตั๋วเดินกลับมาบนระเบียง ทว่ากลับเห็นว่าระเบียงนี้ยังมีบันไดเชื่อมไปสู่ห้องด้านหลังอีก เมื่อตงฟางเลิกม่านไม้ไผ่ขึ้นจึงเห็นว่าที่ด้านหลังมีลำธารคดเคี้ยวอยู่สายหนึ่ง แม้จะจับตัวเป็นน้ำแข็งไปไม่น้อยแล้ว ทว่ายังคงมีกระแสน้ำเล็กๆ หมุนวน บริเวณมุมหนึ่งของลานด้านหลังล้อมรั้วไม้ไผ่เตี้ยเอาไว้ ด้านบนแขวนผ้าสักหลาดเพื่อบังลม นึกไม่ถึงว่าข้างในจะมีนกพิราบสีขาวหิมะขดตัวอยู่ด้วยกันเงียบๆ จำนวนมาก ทั้งสองคนเดินลงมา นั่งหันหน้าเข้าหากันที่โต๊ะเล็กข้างระเบียง ด้านข้างโต๊ะมีเตาขนาดไม่ใหญ่ทว่าสะอาดสะอ้านตั้งอยู่ ภายในมีถ่านซึ่งกำลังคุกรุ่น ข้างๆ มีโถน้ำซึ่งใส่น้ำสะอาดอยู่เล็กน้อย ยามนี้มีไอร้อนลอยขึ้นมา
เมื่อเฉิงตั๋วเห็นทิวทัศน์เช่นนี้ ในใจก็รู้สึกทั้งสงบและพึงพอใจ เอ่ยปากว่า “ท่านตงฟาง…”
ตงฟางโบกมือ “มิกล้ารับๆ พวกชาวบ้านเรียกกระหม่อมว่าท่าน คนคุ้นเคยส่วนใหญ่เรียกว่าตงฟาง หากท่านอ๋องไม่ทรงเห็นกระหม่อมเป็นคนนอกก็ทรงเรียกชื่อรองของกระหม่อมเถิด”
“ได้ จะว่าไปแล้วข้าเองก็เคยตั้งชื่อรองให้ตัวเองว่าสีเจี้ยน สถานที่แห่งนี้ตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่ยึดติดขนบธรรมเนียม น้องหรานจือก็เรียกข้าด้วยชื่อรองเถอะ”
ตงฟางได้ยินเขาเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้จึงไม่ถ่อมตนเช่นกัน “ชื่อรองของพี่สีเจี้ยนมีที่มาที่ไปอย่างไรหรือ”
เฉิงตั๋วลอบคิด เหตุใดพี่น้องคู่นี้จึงชอบตั้งคำถามเกี่ยวกับชื่อนัก บนใบหน้าจึงปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ “นี่เป็นชื่อที่ข้าตั้งให้ตัวเองตอนนำทัพเมื่ออายุสิบห้าปี จวบจนปัจจุบันยังไม่เคยมีผู้ใดเรียกมาก่อน” เขาเป็นที่เคารพยำเกรงตั้งแต่อายุยังน้อย ปัจจุบันยิ่งอยู่ใต้คนเพียงผู้เดียว อยู่เหนือคนนับหมื่น ผู้ใดจะกล้าเรียกขานด้วยชื่อรอง วันนี้ได้ยินตงฟางเอ่ยเรียก กลับรู้สึกว่าน่าสนใจมาก
เฉิงตั๋วเอ่ยต่ออย่างเนิบช้า “หลักการบ่มเพาะทหาร ฝึกฝนและฝึกซ้อม จนหนึ่งพลต่อกรศัตรูนับร้อย หลักการใช้ทหาร โชคชะตามีพลิกผัน เก็บความพ่ายแพ้มาเป็นกระจกส่องบทเรียน”
ตงฟางส่ายหน้า “นามของท่านมีแต่กลิ่นอายสงคราม” คิดๆ แล้วก็ยิ้ม “ทว่าไม่เลว จิ้งหย่วนชินอ๋องผู้ไม่เคยปราชัยในศึกมาหลายปี ภายในชื่อกลับคิดถึงเรื่องความพ่ายแพ้แล้วนำมาเป็นบทเรียน”
“สงครามมีแพ้มีชนะ ความปราชัยของศัตรูเองก็เป็นเครื่องเตือนใจได้เช่นกัน”
แววตาตงฟางปรากฏความชื่นชม ในตอนที่กำลังจะพูดต่อ หมิงจีก็ยกถาดใหญ่ใบหนึ่งเดินเข้ามา บนถาดมีจานเล็กจานหนึ่ง วางพวกผลไม้แห้งและกับแกล้มสุรา บนถาดยังมีกระบอกสุราขนาดกว้างอีกใบหนึ่ง บนปากกระบอกมีไอร้อนลอยออกมา พริบตาภายในห้องก็อวลไปด้วยกลิ่นสุรา นางวางของเหล่านี้ลง นำโถน้ำด้านข้างโต๊ะไปวางบนเตา แล้วนำกระบอกสุราใส่เข้าไปในโถอีกที ด้านข้างกระบอกพิงอยู่กับขอบโถ เมื่อเป็นเช่นนี้เปลวไฟจึงไม่เผาถูกกระบอกสุราโดยตรง
ตงฟางจัดจานบนโต๊ะ หมิงจีซึ่งจัดวางสุราเรียบร้อยแล้วลุกขึ้นยืน ส่งยิ้มให้เฉิงตั๋ว ก่อนถือถาดใบนั้นถอยกลับออกไป
เฉิงตั๋วมองหมิงจีเดินออกไปพลางถามขึ้นมา “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าจะมา”
ตงฟางยิ้มตอบ “โดยคร่าวๆ แล้วก็เหมือนกันกับผู้อาวุโสท่านนั้น ดูจากสภาพอากาศ” เขารินสุราลงไปในจอกสุราทั้งสองใบ เฉิงตั๋วยกขึ้นจิบ รู้สึกได้ว่ากลิ่นสุราหอมหวน ยามกลืนลงท้องก็อุ่นวาบ ไอพายุหิมะตลอดทั้งวันถูกปัดเป่าออกไปอย่างหมดจด เขาได้ยินเสียงตงฟางพูดต่อไป “ทว่าข้ากลับประหลาดใจนัก ในเวลาเช่นนี้ท่านวางใจในตัวทหารนับหมื่นนายของท่านเพียงนี้เชียวหรือ”
เฉิงตั๋วหยิบพุทราที่เอาเมล็ดออกแล้วขึ้นมากิน “ตอนนี้หิมะกองทับถมถึงหัวเข่า ทั้งคนทั้งม้าต่างจมลงไปในผืนหิมะ อีกฝ่ายก็ต้องสืบสถานการณ์ให้แน่ชัด คาดว่าภายในวันสองวันนี้ไม่น่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร”
ตงฟางยิ้ม “ข้าเดาว่าท่านกำลังรอให้ราชสำนักมอบอำนาจให้อย่างเป็นทางการกระมัง”
“หมายความว่าอย่างไร”
“มิฉะนั้นหากตลอดแนวชายแดนรบกันขึ้นมา นอกจากทหารสายตรงไม่กี่คนของท่าน บรรดาแม่ทัพนายกองของเยี่ยนโจว อวิ๋นโจวก็ใช่ว่าจะทำตามคำสั่ง นับประสาอะไรกับที่อวิ๋นโจวยังมีอ๋องเจ็ดเฉิงเสี่ยนทรงรักษาการณ์อยู่ มิใช่ว่าท่านต้องติดขัดไปทั่วหรอกหรือ”